วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สาเหตุที่มาเลเซียเจริญกว่าไทย ในช่วงเวลาอันสั้น

ที่มา: จากอีเมล์


โดยระบุที่มาดังนี้ : คัดจากหนังสือ "คิดเป็น รวยก่อน" หน้า 271-274 โดย กรพจน์ อัศวินวิจิตร (อดีตรมช.กระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาลชวน ๒, อดีตผู้แทนการค้าระหว่ารงประเทศ รัฐบาลทักษิณ, กรรมการผู้จัดการ ธนาคาร....)

......."เมื่อ 15 ปี ก่อน ผมไปเจรจาการค้าที่ประเทศมาเลเซีย ผมประเมินด้วยสายตามาเลเซียล้าหลังกว่าเรา 20 ปี เป็นอย่างน้อย ปัจจุบันนี้ ผมไปมาเลเซียอีกครั้ง ผมตกใจ เขาทำท่าจะแซงหน้าเราซะแล้ว มหาเธร์ใช้เวลา 15 ปี ทำให้มาเลเซียที่ล้าหลังกว่าเราประมาณ 20 ปีกลับมาตีคู่กับเราได้ ต้องยอมรับว่าเก่งมาก

ประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้มาเลเซียพัฒนาได้เร็วมากก็คือ การเมืองของมาเลเซีย...นิ่ง.. รัฐบาลมีเสถียรภาพมาก มีคะแนนเสียงในสภาสูง มีฝ่ายค้านน้อย ทำให้มีเวลาทำงานเต็มที่ สามารถแก้กฏหมายสำคัญๆ ได้อย่างรวดเร็ว สามารถวางแผนระยะยาวได้ ที่สำคัญคือมีโอกาสทำงานต่อเนื่องถึง 20 ปี ทำให้ทุกโครงการถูกสานต่อจนเสร็จและเกิดโครงการใหม่ที่ต่อเนื่อง สอดรับกับโครงการเก่า เสร็จไปแล้วหลายรุ่น

ผมได้พูดคุยกับนักธุรกิจชาวมาเลย์ ก็พูดจาชมเชยเขาว่า คนมาเลย์เป็นคนฉลาด คิดเก่งถึงสามารถพัฒนาประเทศให้เจริญได้อย่างรวดเร็ว เขาบอกว่า ไม่จริง คนไทยฉลาด และคิดเก่งกว่าคนมาเลย์เยอะ ผมก็งง ไม่เข้าใจ คนไทยฉลาดกว่า คิดเก่งกว่าคนมาเลย์ แล้วทำไมประเทศไทยถึงทำท่าจะเจริญช้ากว่ามาเลย์ล่ะ เขาหัวเราะแล้วอธิบายว่า เขายอมรับว่า คนไทยเป็นคนฉลาด มีความคิดดี ประเทศไทยมีคนคิดโครงการดีๆ เยอะแยะมากมาย แต่ค่อนข้างโชคร้ายที่มีฝ่ายค้านและสื่อมวลชนที่เก่งเกินไป และขยันเกินไป ผมยังไม่เข้าใจ เขาอธิบายว่า เวลามีโครงการดีๆ เป็นประโยชน์ต่อประเทศมหาศาลถูกเสนอเข้ามา ฝ่ายค้าน นักวิชาการ NGO ประชาชนนักประท้วง สื่อมวลชน จะร่วมกันคัดค้าน ถกเถียงกันไปมา ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีใครยอมใคร เก่งหมดทุกคน กว่าจะหาข้อสรุปได้ก็ใช้เวลา 20 ปี

คนมาเลย์เนี่ยเป็นคนโง่ คิดอะไรไม่ค่อยเป็น แต่เรารู้ตัวว่าเราโง่ เราจึงร่วมมือกันทำงาน ร่วมมือกันวางแผน มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่ประชุมสรุปยังไงเราทำยังงั้น ที่ประชุมสรุปว่า เมื่อเราโง่ เราไม่ต้องคิด เสียเวลา ให้ใช้วิธีคอยชะเง้อมองประเทศไทย ดูว่าไทยกำลังคิดอะไร ใครเสนอความคิดอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เป็นโครงการที่ดี มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ คนมาเลย์จะเอาโครงการนั้นมาทำทันที มาเลย์ทำจนเสร็จ ใช้งานได้แล้ว ประเทศไทยยังทะเลาะกัน ยังถกเถียงกันไม่เสร็จเลย นี่คือเหตุผลว่า ทำไมมาเลเซียถึงเจริญเร็วกว่า พูดเสร็จ ก็หัวเราะลั่นห้องน้ำหูน้ำตาไหล

ผมหัวเราะไม่ออก แต่หน้าชา เพราะพอหลับตาก็เห็นภาพสนามบินหนองงูเห่า เพื่อนเห็นผมทำหน้าไม่ดีก็หยุดหัวเราะ แล้วหันมาขอโทษ บอกว่า ยูอย่าซีเรียส นี่เป็นโจ๊ก ไม่ใช่เรื่องจริงเป็นเรื่องเล่าคลายเครียดในหมู่นักธุรกิจชาวมาเลย์ "
...................

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เข้าท่าดี

ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง เดินเข้าไปในธนาคารกลางเมืองนิวยอร์ค ถามหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อ

ชายคนนี้บอก กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า เขาจะต้องไปทำธุระที่ประเทศอินเดีย ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็เลยจะขอกู้เงินสัก 170,000 บาท เจ้าหน้าที่สินเชื่อบอกกับเขาว่า การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ดังนั้นชายชาวอินเดียยื่นกุญแจรถเฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุดที่จอด อยู่หน้า ธนาคาร พร้อมกับเสนอให้ใช้รถคันนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เจ้าหน้าที่สินเชื่อจึงตกลงให้กู้เงินโดยใช้รถค้ำประกัน

ผู้จัดการธนาคาร กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ต่างก็ขบขันชายชาวอินเดียที่เอารถเฟอร์รารี่ราคา 8,500,000 บาท มาค้ำประกันเงินกู้ เพียงแค่ 170,000 บาท หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็นำรถเฟอร์รารี่ขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถชั้น ใต้ดินของธนาคาร

สองสัปดาห์ผ่านไป ชายชาวอินเดียก็กลับมาที่ธนาคารพร้อมด้วยเงิน 170,000 บาท และดอกเบี้ยอีก 500 บาท นำมาชำระคืนให้กับธนาคาร

เจ้าหน้าที่สินเชื่อพูดว่า
“ท่านครับ เรารู้สึกดีใจมากที่คุณจัดการธุระของคุณได้เสร็จเรียบร้อย และการกู้เงินในครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี แต่ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย ตอนที่คุณไปแล้ว เราได้เช็คประวัติของคุณดู ก็พบว่าคุณร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงเลย แต่ทำไมคุณถึงต้องมากู้เงินกับเราแค่ 170,000 บาทด้วย ล่ะครับ”

ชาวชาวอินเดียตอบกลับไปว่า
“ไม่มีที่ไหนในนิวยอร์คอีกแล้ว ที่ผมจะสามารถจอดรถทิ้งไว้ได้ถึง 2 สัปดาห์ ด้วยเงินเพียง 500 บาท พร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อยว่ารถผมจะไม่หาย”

เรื่องเล่าชาวยิวกับขุมทรัพย์ใต้สะพาน


มีชาวยิวคนหนึ่งยากจนคนหนึ่ง ฝันว่าเขาเห็นขุมทรัพย์ฝั่งอยู่ที่ใต้สะพานที่นอกเมืองโน้น เขาก็เลยตัดสินใจออกจากบ้าน ด้วยความหวังว่าจะเจอขุมทรัพย์ ไปที่ใต้สะพานนอกเมือง และเมื่อไปถึง กำลังจะขุด ก็มีตำรวจคนหนึ่งเห็นเข้า ก็เลยโดนถามว่า มาทำอะไร ชายยากจนก็ อ้ำอึ้ง แต่ก็ตัดสินใจบอกไปว่า เขานะฝันเห็นขุมทรัพย์ฝั่งอยู่ใต้สะพานนี้

ตำรวจได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจมาก ...ก็บอกออกไปว่า ตัวเขาเองก็ฝันเหมือนกันว่าจะมีคนโง่ คนหนึ่ง มาขุดดินที่ใต้สะพานนี้ เพื่อหาขุมทรัพย์ แต่โง่มาก เพราะเขานะฝันต่อไปจนรู้ว่าขุมทรัพย์นะไม่มีหรอกที่ใต้สะพาน แต่มันถูกฝั่งอยู่ที่ใต้เตาผิงที่บ้านชายโง่คนนั้นต่างหาก ... กลับไปซะเถอะที่นี่ไม่มีขุมทรัพย์หรอก

แล้วชายยากจนก็จำต้องกลับบ้าน ...แต่เขาก็ไปขุดที่ใต้เตาผิง ในบ้านของเขาปรากกฎว่าเจอขุมทรัพย์เข้าจริงๆ ...

เรื่องนี้ไม่ได้สอนให้เราบ้าขุมทรัพย์นะ ...แต่มันมีข้อคิดที่น่าประทับใจ ตรงที่ว่า บางครั้งเราต้องออกเดินทาง ไปไกลแสนไกล เพื่อจะค้นพบว่าสิ่งที่เราต้องการที่สุด อยู่ใกล้แค่เอื้อม ...ประเด็นมันอยู่ที่ ถ้าคุณไม่ออกเดินทาง ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า สิ่งที่คุณต้องการนั้นคือสิ่งที่คุณหามันได้ไม่ไกลตัวนัก ชาวยิวจึงนิยมที่จะเดินทางเพื่อหาประสบการณ์อยู่เสมอๆ



วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยตนเอง ตอนที่ 6 : ลดเวลาค้นหาหุ้น...ต้องตามลุ้นความเห็นของนักวิเคราะห์

รายงานโดย : กฤษฏา เสกตระกูล        วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การเคลื่อนไหวราคาหลักทรัพย์ขึ้นลงไปมาในแต่ละวัน สะท้อนถึงความคาดหวังของตลาด (หรือของนักลงทุน) เกี่ยวกับอนาคตของบริษัทจดทะเบียนของหลักทรัพย์นั้น

เช่น อนาคตเกี่ยวกับการเติบโตของกำไร (Earning Growth) ซึ่งจะไปมีผลอย่างมากต่อราคาหลักทรัพย์ นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ถ้าคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตของบริษัทเป็นไปนเชิงบวก และอาจขาดทุนได้ถ้าอนาคตของกิจการไม่สดใสอย่างที่คาดเอาไว้

ประสบการณ์ที่เกิดจริงในสหรัฐอเมริกา ก็คือ มีนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จำนวนมาก ถูกไล่ออกจากงาน เนื่องจากแนะนำให้ลูกค้าเข้าซื้อหลักทรัพย์ในกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีราคาแพงเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่อุตสาหกรรมกลุ่มนี้รุ่งเรืองถึงขีดสุดในช่วงปีค.ศ. 2000 ต่อเนื่องถึงปีค.ศ. 2001 ตัวอย่างที่เด่นชัด ก็คือ การกระตุ้นให้ซื้อหุ้นของบริษัท เอนรอน ก่อนที่จะถูกประกาศให้ล้มละลาย ต่อมาในปีค.ศ. 2002 หน่วยงานของรัฐในสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยผลการสอบสวนที่พบว่า นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บางคนได้ให้คำแนะนำแก่นักลงทุนซื้อหุ้นทั้งที่รู้ว่าจะเกิดความเสียหายขึ้น

ทั้งที่เกิดความอื้อฉาวต่อชื่อเสียงของ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์มาหลายครั้ง แต่รายงานการพยากรณ์กำไร (Earning Forecast) และรายงานการให้คำแนะนำในการลงทุน (Buy/Sell Ratings) ก็ยังคงเป็นที่นิยมและเป็นเครื่องมือที่ดีในการคาดการณ์อนาคตของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพราะเราสามารถ ค้นหาข้อมูลสำคัญซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน ซึ่งช่วยเราประหยัดเวลาไปได้มากในการวิเคราะห์เจาะลึกว่า หุ้นตัวนั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร

6.1 บทบาทของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์จะว่าจ้างนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อวิเคราะห์หลักทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จะเขียนรายงานวิเคราะห์อุตสาหกรรมที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมเหล่านั้นด้วย ในการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน นักวิเคราะห์จะมีการพยากรณ์ยอดขายและกำไรของบริษัท จดทะเบียน รวมทั้งให้ความเห็นว่าควรจะซื้อ (Buy) ถือไว้ต่อไป (Hold) หรือขาย (Sell) และระบุราคาเป้าหมาย (Target Price) ที่จะเกิดขึ้นกับหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนนั้น นักวิเคราะห์จะต้องปรับปรุง (Update) ข้อมูลการวิเคราะห์หลักทรัพย์อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์นั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป

การจัดทำรายงานของนักวิเคราะห์ ก็เพื่อให้คำแนะนำแก่ลูกค้าว่าควรจะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน แต่กว่าจะได้ข้อสรุปนี้มาไม่ใช่เป็นงานง่ายๆ นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จะต้องพัฒนาวิธีการในการจัดลำดับ (Rating) หลักทรัพย์ เพื่อคัดกรองว่าหลักทรัพย์ใดควรถูกซื้อหรือขาย และแต่ละบริษัทอาจมีเทคนิคที่ต่างกันไป เช่น Goldman Sachs ใช้วิธีวิเคราะห์หลักทรัพย์ตาม ปกติแล้วถ้าคิดว่าในระยะเวลาอีกไม่นานหลักทรัพย์นั้นจะมีราคาสูงขึ้น ก็จะนำรายชื่อเข้ามาอยู่ใน Recommendation List ขณะที่ Merrill Lynch ใช้วิธีให้สัญลักษณ์ไว้ที่หุ้นที่กำลังจะมีราคาสูงขึ้น และ Prudential Securities จะระบุไว้กับหลักทรัพย์ที่กำลัง จะขึ้นว่า Strong Buy เป็นต้น นักลงทุน จึงต้องปรึกษากับบริษัทหลักทรัพย์เพื่อทำความเข้าใจกับวิธี Rating และความหมายของแต่ละบริษัท

6.2 รู้จัก Consensus Ratings
การรวบรวมผลการจัดลำดับหลักทรัพย์ของนักวิเคราะห์จากหลายๆ บริษัทหลักทรัพย์ เรียกว่าเป็นการจัดทำ Consensus Ratings ซึ่งอาจสรุปได้ว่าความเห็นของนักวิเคราะห์จะเป็นไปในลักษณะใดลักษณะหนึ่งใน 5 ประการ ดังแสดงในตารางที่ 6.1 ต่อไปนี้

เราสามารถติดตามผลการให้ความเห็นในหลักทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่ง เนื่องจากนักวิเคราะห์หลายๆ คนได้ เช่น ถ้ามีนักวิเคราะห์ 3 ราย ให้คำแนะนำว่า Strong Buy ในหลักทรัพย์หนึ่ง ค่าที่ได้รวมกันจะเท่ากับ 3 และค่าเฉลี่ยจะเท่ากับ 1 แต่ถ้ามีนักวิเคราะห์ 1 ราย ให้ Strong Buy (ค่าจะได้ 1) 1 ราย บอกว่า Hold (ค่าจะได้ 3) ค่าเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์ 2 ราย เท่ากับ 2 (4 หารด้วย 2) ซึ่งค่าจะตกอยู่ใน ระดับ Buy ค่าเฉลี่ยที่หามาได้นี้เรียกว่า Consensus ถ้าค่า Consensus เท่ากับ 2.7 เช่น อาจมาจาก 16/6 ซึ่งมีรายละเอียดคือ นักวิเคราะห์ 3 ราย บอกว่า Hold (ได้ 9 คะแนน) 2 ราย บอกว่า Strong Buy (ได้ 2 คะแนน) และ 1 ราย บอกว่า Strong Sell (ได้ 5 คะแนน) ค่า Consensus 2.7 นี้จะตกอยู่ในระดับใกล้กับ Hold ซึ่งหมายถึงให้คงสถานะเดิม ไม่ซื้อเพิ่มหรือไม่ขายและให้ถือต่อไป

การรวบรวมและคำนวณค่า Consensus ช่วยให้นักลงทุนได้เห็นว่า แนวโน้มโดยเฉลี่ยของนักวิเคราะห์คิดอย่างไรกับหลักทรัพย์นั้น ตัวอย่างเช่น ในเดือนที่แล้วค่า Consensus ของหลักทรัพย์หนึ่งเท่ากับ 2.2 ซึ่งตรงกับระดับ Weak Buy เมื่อมาถึงในเดือนนี้ค่า Consensus เท่ากับ 1.2 แสดงว่าเป็นการยืนยันมากขึ้นว่าให้ซื้อได้ เพราะค่าเฉลี่ยเข้าใกล้ Strong Buy

เนื่องจากค่า Consensus อาจมีค่าเป็น จุดทศนิยม เมื่อเทียบกับค่าคะแนนที่ตั้งเอาไว้ตามตารางที่ 6.1 ทำให้เปรียบเทียบได้ยาก เราอาจกำหนดช่วงค่าคะแนนใหม่เพื่อช่วยตัดสินใจได้ดังต่อไปนี้

- ค่า Consensus ระหว่าง 1.0-1.5 = Strong Buy

- ค่า Consensus ระหว่าง 1.6-2.4 = Buy
- ค่า Consensus ระหว่าง 2.5-3.5 = Hold
- ค่า Consensus ระหว่าง 3.6-5.0 = Sell

ในการหาค่าเฉลี่ยของความเห็นเพื่อคำนวณค่า Consensus นั้น เราควรใช้จำนวนนักวิเคราะห์เท่าใดจึงจะพอ บ้างก็ว่าควรใช้จำนวนนักวิเคราะห์ระหว่าง 20-35 คน บางธุรกิจหลักทรัพย์ก็ใช้จำนวนนักวิเคราะห์ 7-15 คน ซึ่งไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่ก็ ไม่ควรมีน้อยเกินไป เพื่อให้เวลาคำนวณจะมีค่าเฉลี่ยที่ไม่เกิดอคติได้ง่าย



ที่มา : http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=81779

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาจากญี่ปุ่น!!

นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย วันสุดท้ายของการเดินทาง

หนุ่มชาวอาทิตย์อุทัยได้เรียกแท๊กซี่ไปส่งที่สนามบินดอนเมือง

ระหว่างทางมีรถฮอนด้า ขับผ่านไป หนุ่มยุ่นรีบโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างแท๊กซี่

และ ตะโกนว่า รถฮอนด้า วิ่งเร็วมาก มาจากญี่ปุ่น

หลังจากนั้นก็กลับเข้ามา นั่งในรถด้วยใจรักชาติ

ขณะนั้น ได้มีรถโตโยต้า แล่นแซงแท๊กซี่ไปอย่างเร็วชายคนนั้นทำเช่นเคย

“รถโตโยต้า วิ่งเร็วมาก มาจากญี่ปุ่นยังไม่ทันไร รถมิตซูบิชิ

ก็แล่นผ่านไปอีกคัน เขาก็รีบตะโกนทัก

รถมิตซู วิ่งเร็วมาก มาจากญี่ปุ่น”

คนขับแท๊กซี่รู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่ก็ได้แต่เก็บไว้โดยที่ไม่พูดอะไร

แม้จะต้องทนฟังเสียง แบบเดิมอีกหลายครั้ง พอมาถึงที่สนามบิน

มิเตอร์บอกราคาค่าโดยสาร 300 กว่าบาท หนุ่มญี่ปุ่นถึงกับใจหาย

“โอโนว ! ทามมายมันแพงยังงี้”

คนขับแท๊กซี่ได้ใจ หันกลับไปบอกว่า

“มิเตอร์นี้วิ่งเร็วมาก มาจากญี่ปุ่น”

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยตนเอง ตอนที่ 4 : เทคนิคการค้นหา Growth Stock (จบ)

รายงานโดย :กฤษฏา เสกตระกูล: วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552


ต่อจาก 2 ฉบับก่อนที่กล่าวถึงเกณฑ์ในการ ค้นหา หุ้นเติบโต (Growth Stock) ไปแล้ว ฉบับนี้มาต่อกันที่หัวข้อการประเมินของนักวิเคราะห์ (Analysts Consensus Ratings) กันต่อ

อัตราการเติบโตของกำไรประมาณการในอีก 5 ปีข้างหน้า
กำหนดอัตราขั้นต่ำไว้ที่ 18% ต่อปี เรา สามารถติดตามดูข้อมูลได้จากการพยากรณ์ของ นักวิเคราะห์ โดยดูจากค่าเฉลี่ยของการทำ Consensus การเติบโตของกำไรในอนาคต ถ้าเป็นไปตามที่คาดก็จะส่งผลดีต่อการเติบโตของการลงทุนไปด้วย


อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) กำหนดอัตราส่วนขั้นต่ำไว้ที่ 1.5 เท่า อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน คือ การหารสินทรัพย์หมุนเวียนด้วยหนี้สินหมุนเวียน ถ้าอัตราส่วนนี้ มีค่าต่ำกว่า 1 แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมมีภาระหนี้สินระยะสั้นเกินกว่าสินทรัพย์ที่จะใช้ชำระหนี้ระยะสั้นได้ ถ้าอัตราส่วนนี้มีค่าสูงขึ้น แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นของบริษัท ก็จะสูงขึ้นด้วย ในที่นี้กำหนดค่าเหมาะสม (Arbitrary) ไว้ที่ 1.5 ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้

อัตราส่วนหนี้สินระยะยาวต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Long-Term Debt/Equity) กำหนด ค่าสูงสุดไว้ที่ 0.5 อัตราส่วนหนี้สินระยะยาว ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นการนำมูลค่าหนี้สินระยะยาวมาเทียบกับมูลค่าตามบัญชี (Book Value) ของกิจการ ยิ่งอัตราส่วนนี้สูงขึ้น แสดงว่าสัดส่วนที่เป็นหนี้ยิ่งสูงขึ้น การกำหนดค่าสูงสุดของอัตราส่วนหนี้ที่ 0.5 ช่วยตัดบริษัทที่มีปัญหาหนี้สินมากๆ ออกจากการพิจารณา เพราะทำให้เกิดความเสี่ยงทางการเงิน

ระดับรายได้ (Revenue) กำหนดค่าเฉลี่ยต่ำสุดของรายได้ต่อปี คือ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ เราต้องมีการกำหนดขนาดของรายได้ของบริษัท ที่เราสนใจอย่างชัดเจน เพื่อให้รู้ว่าบริษัทที่เราสนใจอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่หรือธุรกิจขนาดเล็ก

อัตราการทำกำไรต่อสินทรัพย์ (Return on Assets) กำหนดอัตราขั้นต่ำไว้ที่ 8% ต่อปี ROA ใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของ บริษัท ยิ่ง ROA สูง ก็ยิ่งดี การกำหนดอัตรา ขั้นต่ำทำให้เราคัดสรรหลักทรัพย์ที่มีความสามารถในการทำกำไรในอัตราที่น่าพอใจไว้ได้จำนวนหนึ่ง โดยปกติเราจะไม่ค่อยสนใจหุ้นของบริษัทที่มี ROA ต่ำในระดับหนึ่ง เช่น 5%

ราคาหุ้น (Share Price) กำหนดราคาขั้นต่ำไว้ที่ 5 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น (เฉพาะของสหรัฐ)
หุ้นที่มีราคาต่ำมากๆ (เช่น ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ) จะถูกพิจารณาว่าอาจมีความเสี่ยงสูง หรืออาจมีปัญหาบางประการ และควรถูกตัดออกไป

เปอร์เซ็นต์การถือครองหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (Percent Institutional Ownership) กำหนดเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำไว้ที่ 30% กองทุนรวมและนักลงทุนสถาบันมักจะชอบหุ้นแบบ Growth Stock เราอาจคอยสังเกตว่า ถ้าหุ้นนั้นไม่มี นักลงทุนสถาบันมาถือครอง ก็เป็นสัญญาณว่าเป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจ สำหรับเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำนี้อาจพิจารณาในระดับต่างๆ กันไป แล้วแต่ลักษณะการลงทุนของกองทุนรวมในแต่ละประเทศ

โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ ข้างต้น ควรคัดสรรหุ้น แบบ Growth Stock มาได้เหลือ 15-20 ตัว ถ้ายังไม่ได้ในจำนวนที่ต้องการก็ปรับเกณฑ์ตามความเหมาะสม

ที่มา : http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=79693

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อีเมล์เป็นเหตุ

สองสามีภรรยาตกลงใจไปพักร้อนด้วยกัน แต่เนื่องจากภรรยาติดธุระ สามีจึงออกเดินทางไปฟลอริดาก่อน

เมื่อถึงโรงแรม เขาคิดว่าควรส่งข่าวให้ภรรยารู้ แต่บังเอิญว่าเขาพิมพ์อีเมล์แอดเดรสพลาดไปตัวเดียว ดังนั้นข้อความที่เขาส่งจึงไปถึงมือของภรรยาบาทหลวง ซึ่งเพิ่งจะสูญเสียสามีไปหยก ๆ

เธอเปิดอ่านข้อความแล้วร้องกรี๊ดออกมาก่อนแล้วล้มหัวฟาดพื้น ญาติของเธอจึงวิ่งมาดู และได้เห็นข้อความที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมฯ ว่า

สุดที่รัก ? ผมเพิ่งจะเช็คอินเดี๋ยวนี้เอง ทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับการมาถึงของคุณในวันพรุ่งนี้ ? ด้วยความรักจากสามีคุณ


ป.ล. อากาศข้างล่างนี้ร้อนเป็นบ้า ?

ใครเจริญกว่ากัน!!

ที่ประเทศจีน มีการขุดค้นพบซากสายโทรศัพท์ในระดับความลึก 50 เมตร
ทั่วประเทศต่างพากันฉลองดีใจ ด้วยเชื่อว่าเมืองจีนมีโทรศัพท์ใช้แล้วเมื่อ 50 ปีก่อน……..

ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงขุดดินบ้างให้ลึกกว่า 100 เมตร ก็พบซากสายโทรศัพท์เช่นกัน
ทั่วประเทศต่างพากันฉลองดีใจ ด้วยเชื่อว่าประเทศของตนมีโทรศัพท์ใช้แล้วเมื่อ 100 ปีก่อน……

ประเทศไทยก็คิดว่าน่าจะมีบ้าง
จึงขุดดินลงไประดับความลึก 200 เมตร
ปรากฏว่าไม่เจออะไร..??..
ทั่วประเทศต่างพากันฉลองดีใจ
ด้วยเชื่อว่าเมืองไทยมีโทรศัพท์ไร้สายใช้แล้ว เมื่อ 200 ปีก่อน………???

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง


โดย วินทร์ เลียววาริณ

..........ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมานานร่วมสามสิบปี....

ห้าปีในนั้นผมทำงานในต่างประเทศ
..เมื่อกลับมาเมืองไทย ผมพบเรื่องอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือหลายคนมองการก้าวเท้าออกจากสำนักงานตรงเวลา
'เป็นเรื่องประหลาดที่สุดในโลก '
ผมรู้ความจริงภายหลังว่า ...
คนจำนวนมากไม่ยอมออกจากสำนักงานตรงเวลา
เพื่อแสดงให้เจ้านายเห็นว่า
ตนเองขยันขันแข็ง ยิ่งอยู่ดึก ยิ่งเป็นพนักงานตัวอย่าง
เสียสละเพื่อองค์กร น่ายกย่องชมเชย
บ่อยครั้งมีผลถึงการได้รับโบนัสตอนท้ายปี..
เนื่องจากเจ้านายมักเห็นหน้าเห็นตาใครคนนั้น หลังเวลาเลิกงานแล้วเสมอ
หากไม่เคยทำงานในต่างประเทศมาก่อน ผมอาจเข้าร่วมวงไพบูลย์
'มาสายกลับดึก' ด้วย

แต่หลายปีในชีวิตการทำงานในประเทศที่มีประสิทธิภาพในการจัดการที่สุด..
ทำให้เห็นค่าเวลาทุกนาทีในชีวิต
ผมกลับมองว่าคนที่อยู่ดึกเป็นประจำคือพวกไร้ประสิทธิภาพ
ไม่สามารถทำงานให้เสร็จทันเวลา ..จึงต้องอยู่ดึก
ยิ่งทำงานมากชั่วโมงยิ่งแสดงถึงการทำงานโดยไม่มีการวางแผน ไม่มองภาพรวม

ลองคิดดู????

การอยู่ดึกเพื่อทำงานพิเศษหนึ่งคืนหมายถึงค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น ค่าทะนุบำรุงสูงขึ้น
ผลกระทบต่อคนทำงานคือพักผ่อนน้อยกว่าที่ควรเป็น
ยิ่งอยู่ดึก ประสิทธิภาพของงานในวันถัดไปยิ่งตกต่ำลง

.มือกระบี่ชั้นหนึ่งในแผ่นดินมองท่วงทีของศัตรูอย่างระวัง
ตวัดกระบี่ในมือเพียงฉับเดียว ก็เข่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม
มือกระบี่ชั้นรองต้องประกระบี่ดังโคร้งเคร้งนานนับชั่วโมง
ราวกับอยากบอกโลกว่า ..ข้าก็ใช้กระบี่นะโว้ย
โลกรับรู้ แต่คมกระบี่ก็บิ่น ต้องเสียเวลาลับกระบี่อีกหลายวัน

งานดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องตรงเวลาด้วย
งานดีไม่มีทางเกิดขึ้นตามยถากรรม ..หรืออารมณ์ขึ้นลง
ไปจนถึงความหนาแน่นรัดกุมของกฎเกณฑ์ 'ตอกบัตร'
ปริมาณเวลาในการทำงานชิ้นหนึ่ง
ไม่ได้เป็นสัดส่วนกับคุณภาพของผลงานเสมอไป

บ่อยครั้งเป็นปฏิภาคกัน ..หลายครั้งงานที่ให้เวลาน้อย
กลับออกมาดีกว่างานที่ให้เวลามาก

"คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง"

ทำ งานเสร็จแล้วก็เลิก! ไม่ต้องรอเทวดาบนสวรรค์วิมานมารับรู้'
เพราะถึงเวลานั้นเทวดาก็กลับบ้านไป นานแล้ว



วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พระนั่งอยู่‏


มีพระอยู่ 1 รูป เดินผ่านเข้าไปในเขตที่กำลังเกิดสงครามอยู่

จึงถูกทหารนายหนึ่งจับเป็น เชลย

แต่ว่าระหว่างทางที่ทหารจะพาพระกลับไปในเมือง

ก็ได้เดินผ่านร้านเหล้า จึงเกิดอยากเหล้าขึ้นมา

จึงได้แวะดื่มก่อน ทหารก็ได้คิดอย่างรอบคอบ

ก่อนที่จะเมาหลับไปจึงนำกุญแจมือล็อกพระติดกับตนเองไว้

หลังจากนั้นก็ได้เมาหลับไป.....

พระจึงแอบหยิบกุญแจมาไขแล้ว

จัดการสลับเสื้อผ้าของทหารกับพระ

จากนั้น...พระก็จัดการโกนผม ให้ทหารคนนั้น

เวลาผ่านไป จนกระทั่ง ทหารเริ่ม สร่าง (รึป่าวหว่า)

จึงตื่นขึ้นมาแล้วหันมองทางซ้ายทีทางขวาที

ก็ไม่เจอพระ จึง ส่องกระจก และมองชุดที่สวมใส่


และอุทานขึ้นว่า "พระยังอยู่ แล้วตรูไปไหนว่ะ!!!"

เคยเห็นตัวเม่น ตอนเด็ก ๆ ป่าว?‏


















วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อยู่บ้าน หรืออยู่คอนโด ดีกว่ากัน?




การซื้อที่อยู่อาศัยนั้นเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในชีวิต เพราะเราไม่ได้ซื้อกันบ่อยๆ ดังนั้นจึงมีคำถามเสมอว่า ซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมดีกว่ากัน

คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่แน่นอน เพราะเงื่อนไขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับฐานะการเงิน รายได้ สถานภาพสังคม ที่ทำงาน โสดหรือแต่งงาน เพศ อายุ ทัศนคติ และอีกหลายอย่าง ซึ่งอาจแตกต่างกันไป ตามจังหวะของชีวิต เช่น ช่วงหนุ่มสาวหรือเพิ่งแต่งงาน การอยู่คอนโดอาจจะเหมาะสม แต่เมื่อมีลูกก็อาจจะอยากไปอยู่บ้านเดี่ยว และเมื่อลูกโตเข้าโรงเรียน หลายครอบครัวกลับต้องมาซื้อคอนโดอีกรอบ

เราจะมาคุยเรื่องข้อดีข้อเสียของการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม เทียบกับบ้านเดี่ยวหรือทาวเฮ้าส์ กันนะครับ

ความสะดวกสบายในการเดินทาง
แน่นอนว่า ในจำนวนเงินเท่าๆกัน ถ้าเลือกคอนโดมิเนียม จะได้ทำเลที่การคมนาคมสะดวกกว่าบ้านเดี่ยวหรือทาวเฮ้าส์ ทำให้ประหยัดเวลาในการเดินทาง ได้มีเวลาเหลืออยู่กับครอบครัวมากขึ้น การอยู่คอนโดที่ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะเช่นรถไฟฟ้า ทำให้ความจำเป็นในการใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง จึงประหยัดค่าใช้จ่ายค่าน้ำมัน ค่า บำรุงรักษา ค่าที่จอดรถ ฯลฯ ไปได้เยอะ และยังช่วยลดโลกร้อนอีกด้วยนะครับ In-trend ไปเลย

บ้านเดี่ยวสมัยนี้อยู่ไกลมากๆ จนไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างกันได้ไกลขนาดนั้น ครอบครัวที่ทำงานในใจกลางเมืองแต่บ้านอยู่ชานเมืองนั้นต้องเสียเวลาอยู่ในรถอย่างน้อยๆวันนึงไม่ต่ำกว่า 4-5 ชม. ซึ่งก่อให้เกิดความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ กลับมาบ้านก็เหนื่อยจนหมดแรง อุตส่าห์จัดสวนไว้อย่างสวยงามก็ไม่ได้ชื่นชมนอกจากวันหยุด (แต่ต้องพาลูกออกไปเรียนพิเศษอีก) บ้านที่อยู่ไกลมากๆ สมาชิกที่ไม่มีรถต้องรีบกลับให้เร็วเพราะถ้ากลับดึกอยู่กันลึกในซอยเปลี่ยว นั้นสุ่มเสี่ยงต่อการถูกแท็กซี่จี้ปล้น เทียบกับการอยู่คอนโด จะปาร์ตี้จนเมาปลิ้นแค่ไหนก็กลับมาห้องได้ง่าย เพื่อนๆยินดีขับรถมาส่ง แต่ถ้าบ้านอยู่ลำลูกกา คลองสิบหก แบบนี้มีแต่คนเกี่ยงกันครับ ^^'

บรรยากาศการอยู่อาศัย
ประเด็นนี้บ้านเดี่ยวจะได้เปรียบคอนโด การอยู่ห่างจากใจกลางเมืองอันวุ่นวายทำให้บรรยากาศการอยู่อาศัยเงียบสงบ ไม่มีเสียงอึกทึกพลุกพล่านจากถนนและเสียงการจราจร อากาศบริสุทธิ์ปราศจากควันพิษ ตื่นเช้ามามีเสียงนกร้องจิ๊บๆ ในขณะที่คอนโดมีแต่เสียงจราจรเป่านกหวีดปริ๊ดๆ อยู่บ้านชานเมืองยังได้สูดกลิ่นหอมของพื้นหญ้า กลิ่นดิน กลิ่นต้นไม้ใบไม้ กลิ่นฝนตกใหม่หอมๆ แต่อยู่คอนโดได้แต่กลิ่นท่อไอเสียและท่อระบายน้ำ อยู่บ้านเดี่ยวได้วิ่งรอบทะเลสาบรอบหมู่บ้าน อยู่คอนโดได้แต่วิ่งอยู่บนสายพาน ขืนลงมาวิ่งข้างล่างมีหวังโดนรถทับตายพอดี ดังนั้นเรื่องคุณภาพชีวิตนี้บ้านเดี่ยวชนะคอนโดครับ


สิ่งอำนวยความสะดวก
หลักการของคอนโดมิเนี่ยมนั้นคือการ"แชร์" Facilities อันได้แก่ สระว่ายน้ำ สวนพักผ่อน ห้องออกกำลังกาย ห้องซาวน่า สตีม และอื่นๆ ซึ่งต้นทุนสูงและมีค่าใช้จ่ายในการ maintenance ที่สูงเช่นกัน แต่ของเหล่านี้เราไม่ได้ใช้งานบ่อยนัก การลงทุนซื้อมาไว้เล่นในบ้านคนเดียวจึงเป็นภาระที่หนักและสิ้นเปลือง ถึงแม้ว่า ในหมู่บ้านจัดสรรสมัยใหม่จะมี facilities เหล่านี้ในสโมสรหมู่บ้าน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คอนโดมักจะมี facilites เหล่านี้มากกว่า ใช้งานสะดวกกว่า แค่กดลิฟท์ก็ลงมาว่ายน้ำได้ไม่ต้องขี่จักรยานจากท้ายหมู่บ้าน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยก็ถูกกว่าเพราะจำนวนห้องที่มากกว่านั่นเอง ดังนั้นคอนโดจึงได้เปรียบบ้านเดี่ยวในข้อนี้ครับ

ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
เทียบกันแล้ว คอนโดมิเนียมมีสถิติการถูกโจรกรรมน้อยกว่าบ้านเดี่ยวมาก โดยเฉพาะคอนโดระดับ B, A ขึ้นไป ซึ่งมีทั้งยามรักษาความปลอดภัยเดินตรวจตรา 24 ชั่วโมง มีกล้องวงจรปิดคอยบันทึกการเข้าออกทั้งใน lobby และในลิฟท์ การเข้าออกอาคารต้องแลกบัตรและใช้ Key card ทำให้ยากต่อการบุกรุก

อยู่คอนโดออกจากห้องแค่ปิดประตูก็จบ แต่บ้านเดี่ยวหรือทาวเฮ้าส์นั้นออกจากบ้านทีเป็นเรื่องใหญ่ ต้องไล่ปิดล๊อกประตูทุกบาน หน้าต่างต้องติดเหล็กดัดทั้งหมด ถ้าไม่ติดเหล็กดัดก็ต้องติดสัญญาณกันขโมยให้สิ้นเปลืองอีก จะทิ้งบ้านไปไหนไกลๆทีก็ต้องกังวล วิ่งไปฝากบ้านไว้กับตำรวจ บางคนแค่ไปทำงานกลับมาเจอบ้านโล่ง ไอ้โจรห้าร้อยเข้ามากวาดทรัพย์สินไปเกลี้ยง แม้แต่คอมเพรสเซ่อร์แอร์มันยังถอดเอาไปได้ และที่แย่กว่านั้น นอกจากเอาของไปแล้วบางทีไอ้โจรยังทำร้ายหรือข่มขืนเจ้าทรัพย์อีก ตามที่เห็นในข่าวอยู่ประจำ

ภัยจากแผ่นดินไหว
หลายคนกลัวการอยู่คอนโดมิเนียมด้วยเหตุผลนี้ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ตึกสูงๆกลับปลอดภัยต่อแผ่นดินไหวมากกว่าตึกเตี้ย ยิ่งสูงยิ่งปลอดภัยครับ เหตุผลคือ การออกแบบอาคารสูงนั้น วิศวกรจะต้องคำนวณฐานรากและโครงสร้างอาคารให้แข็งแรงต้านทานแรงลมไว้อยู่แล้ว ซึ่งทำให้สามารถต้านแรงจากแผ่นดินไหวได้ด้วย เพราะแรงจากแผ่นดินไหวเป็นแรงชนิดเดียวกัน คือ กระทำต่ออาคารทางด้านข้าง

ลองนึกภาพว่าเอาขวดเป๊บซี่ตั้งบนกล่องพิซซ่าแล้วเลื่อนกล่องไปมา ขวดจะโอนเอน ถ้าเลื่อนกล่องแรงๆขวดก็ล้ม นั่นละครับลักษณะการกระทำของแผ่นดินไหว หากเปรียบเทียบกับเอาเทียนปักบนเค้กวันเกิดแล้วลองเลื่อนถาดเค้กไปมาบ้าง เทียนที่ปักอยู่ในเค้กย่อมจะล้มยากใช่ไหมครับ เปรียบเสมือนอาคารสูงที่มีฐานรากเสาเข็มยาวจนถึงชั้นหินแข็ง ทำให้ต้านทานแรงจากแผ่นดินไหวและแรงลมได้

หากดูรายงานข่าวแผ่นดินไหวในต่างประเทศ จะพบว่า อาคารที่พังถล่มมักจะเป็นตึกเตี้ยๆ สูงไม่กี่ชั้น แทบไม่เคยเห็นข่าวอาคาร 20-30 ชั้นถล่มด้วยเหตุแผ่นดินไหวเลย

ปัจจุบันความกลัวภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทยมีมากขึ้น ทางการได้ออกกฏใหม่ให้พื้นที่จังหวัดที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวเช่นภาคเหนือและภาคตะวันตก ต้องออกแบบอาคารให้ต้านทานแผ่นดินไหวได้ในระดับหนึ่ง

ในความคิดเห็นของผม การอยู่คอนโดมิเนียมนั้น ภัยจากแผ่นดินไหวไม่น่ากลัวเท่า "อัคคีภัย" ครับ


  
ภัยจากอัคคีภัย
คอนโดมิเนียมนั้นเป็นความพยายามที่จะ"ฝืน"ธรรมชาติในการอยู่อาศัยให้ได้จำนวนมากในพื้นที่จำกัด ดังนั้นหากเกิดไฟไหม้ขึ้นย่อมทำความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินในนั้นได้มากกว่าบ้านเดี่ยว ซึ่งนับเป็นข้อด้อยอย่างหนึ่งของคอนโดมิเนียม จะเห็นว่า อาคารสูงทุกแห่งจึงต้องออกแบบให้มีระบบป้องกันอัคคีภัย มีการซ้อมหนีไฟอยู่เป็นประจำทุกปี

อาคารสูงนั้น ยิ่งสูงมากเท่าไรยิ่งต้องมีระบบป้องกันอัคคีภัยที่สูงขึ้นตาม กฏหมายประเทศไทยกำหนดว่า อาคารที่สูงเกิน 23 เมตร หรือราวๆ 8 ชั้น ขึ้นไป ถือว่าเป็น "อาคารสูง" ซึ่งต้องจัดให้มีระบบป้องกันตัวเองจากเพลิงไหม้ เหตุผลก็คือบันไดของรถดับเพลิงยื่นไปได้สูงไม่เกิน 8 ชั้นนั่นเองครับ (ที่ยื่นไม่ได้มากกว่านี้เพราะเหตุผลด้านความปลอดภัยของนักดับเพลิง และถ้าบันไดยาวมากรถดับเพลิงเลี้ยวไม่พอครับ)


เริ่มตั้งแต่การติดตั้งสัญญาณแจ้งเตือนเช่น Smoke detector หรือ Heat detector ที่เห็นเป็นก้อนกลมๆแปะอยู่ตามเพดานนั่นละครับ หากตรวจจับควันไฟหรือความร้อนได้ มันจะส่งสัญญาณไปที่ห้องช่างประจำตึก เพื่อรีบมาดับเพลิงเสียก่อนจะลุกลาม หากเพลิงรุนแรงถึงระดับหนึ่ง หัว Sprinkler บนเพดานจะแตกออกเพื่อฉีดน้ำลงมาดับไฟ และถ้ามันยังลุกลามต่อไปอีก คราวนี้ก็เป็นหน้าที่นักผจญเพลิงที่จะขึ้นมาทางลิฟท์ดับเพลิง เพื่อทำการดับไฟด้วยวิธีของผู้ชำนาญ ในขณะที่ผู้อาศัยจะอพยพลงทางบันไดหนีไฟซึ่งมีระบบอัดอากาศภายในเพื่อมิให้ควันไฟจากภายนอกเข้ามาข้างในปล่องบันไดได้ หรือขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อรอเฮลิคอปเตอร์มาช่วยเหลือ ฯลฯ

การป้องกันอัคคีภัยนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากในการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมและทุกๆอาคารสูง ดังนั้นในการซ้อมหนีไฟประจำปี ผู้ที่อยู่อาศัยทุกคนควรเข้าร่วมนะครับ เพราะไม่ได้แค่วิ่งเล่นขำขำ แต่เจ้าหน้าที่จะมาสาธิตการใช้งานเครื่องมือดับเพลิง อธิบายหลักการต่างๆ ตลอดจนเทคนิคต่างๆ เพื่อฝึกซ้อมไม่ให้ประมาท และให้มีสติเวลาเกิดเหตุการณ์จริง ซึ่งมันจะรุนแรงกว่าการซ้อมหลายร้อยเท่า

ประเด็นเรื่องอัคคีภัยในอาคารเราจะมาคุยกันใน blog หลังๆ เพราะมีรายละเอียดเยอะมากกกก และมันไม่เหมือนที่เห็นในหนังฮอลีวู๊ดเลยแม้แต่น้อยครับ

อาคารที่สร้างมานานแล้ว ก่อนกฏหมายอาคารสูงบังคับใช้ในปี 2535 นั้น กฏระเบียบเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัยจะไม่เข้มข้นเท่าตึกที่สร้างใหม่ ดังนั้นการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมเก่า ต้องระวังเรื่องนี้ด้วย เพราะตึกเก่านั้นมักจะไม่ลงทุนอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยอย่างสปริงเกอร์ ถ้าเลือกได้ ควรเลือกห้องใกล้ๆบันไดหนีไฟไว้ก็จะดีกว่า อย่างน้อยก็อุ่นใจกว่า มีอะไรปุ๊บปุ๊บจะได้เผ่นลงบันไดได้ทันที


การบำรุงรักษา
อาคารทุกชนิดย่อมมีการเสื่อม (Depreciate) สำหรับคอนโดมิเนียมนั้น อุปกรณ์ต่างๆมีมากกว่าบ้านเดี่ยว ตั้งแต่ ลิฟท์ ปั๊มน้ำ เครื่องปั่นไฟสำรอง (Generator) บ่อบำบัดน้ำเสีย หม้อแปลงไฟฟ้า และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ต้องการการบำรุงรักษาเพื่อให้อยู่ในสภาพดี แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นการแชร์กันของเจ้าของร่วม ดังนั้น หากจำนวนยูนิตของห้องพักมีมากพอสมควร เมื่อหารเฉลี่ยออกมาเจ้าของแต่ละคนจึงจ่ายไม่มากนัก กลับกัน คอนโดที่มีจำนวนยูนิตน้อยๆ จำนวนชั้นไม่สูงมาก ค่า maintenance เหล่านี้จะแพงมากเมื่อคิดเฉลี่ยต่อคน และจะแพงมากขึ้นไปอีกเมื่ออาคารนี้มีอายุมากขึ้น เราจึงเห็นคอนโดขนาดเล็กจำนวนมากทรุดโทรม ขาดการบำรุงรักษา ด้วยเหตุว่า ค่าส่วนกลางถูก เก็บเพิ่มไม่ได้เจ้าของร่วมไม่ยอมจ่าย แต่ในคอนโดขนาดใหญ่หลายร้อยยูนิต อาคารกลับคงสภาพดีอยู่ ดังนั้นการเลือกคอนโดมิเนียมจึงต้องคำนึงถึงค่า maintenance เหล่านี้ ว่ามี economic of scale พอหรือไม่ด้วยครับ

สำหรับบ้านเดี่ยวนั้น ค่าบำรุงรักษาไม่มากเท่าคอนโด แต่ก็ต้องมีการดูแลเช่นกัน มิฉะนั้นจะโทรม เช่น ดูแลสวน ทาสีใหม่เป็นครั้งคราว อุดซ่อมแซมรอยแตกร้าว น้ำรั่ว และดูแลเรื่องปลวก

ถึงแม้ว่าค่าบำรุงรักษาบ้านจะไม่มากนัก แต่ที่มากกว่า คือ การดูแลทำความสะอาด เพราะบ้านมีพื้นที่ใหญ่กว่า จำนวนหน้าต่างมากกว่า จึงสัมผัสฝุ่นมากกว่า และมีพื้นที่ส่วนสัญจร (Circulation area) มากกว่าคอนโด เช่น โถง บันได ซึ่งเป็นภาระในการดูแลรักษาความสะอาด วันหยุดทีนึง ต้องกวาดบ้านเช็ดบ้าน ล้างมุ้งลวด ดูดฝุ่นหยากไย่ ตัดหญ้าสนาม แต่งกิ่งต้นไม้ รดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยจิปาถะ หลายๆบ้านจึงต้องจ้างแม่บ้านทำความสะอาด สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเข้าไปอีก หากอยู่คอนโดจะมีค่าใช้จ่ายตรงนี้น้อยกว่า

ด้านสังคม
ข้อเสียอย่างหนึ่งของการอยู่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์คือ "เพื่อนบ้าน"
การอยู่บ้านนั้น "เพื่อนบ้าน"เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่คุณไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับ "เพื่อนคอนโด" ข้างห้องในคอนโดของคุณเลย

คำโบราณกล่าวไว้ว่า

เพื่อนบ้านดีเป็นศรีแก่ตัว เพื่อนบ้านชั่วเราไม่อยากได้
เพื่อนบ้านดีเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ เพื่อนบ้านจัญไรอยากแช่งให้ตายทุกวัน
เพื่อนบ้านมีน้ำใจเราสดใสไปด้วย เพื่อนบ้านเฮงซวยเราไม่อยากเจอมัน
แต่เพื่อนบ้านเรามีรถห้าคัน จอดยังไงละนั่นถ้าไม่ใช่หน้าบ้านเรา (อะจ๊าก! )
 (ผมแต่งเองแหละครับไม่ใช่โบราณที่ไหนหรอก)

ปัญหาเพื่อนบ้านเป็นปัญหาโลกแตก พบได้ทุกหมู่บ้านไม่ว่าจะยากดีมีจน ไฮโซแค่ไหนคุณก็มีโอกาสได้พบเจอ Neighbour from Hell ครับ เพราะบ้านมันติดกัน ย่อมมีโอกาสกระทบกระทั่งกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแย่งที่จอดรถ ปัญหาสัตว์เลี้ยงเห่า ปัญหากลิ่นอาหาร ปัญหาทิ้งขยะ ปัญหาหมาขี้หน้าบ้าน ปัญหาเสียงคาราโอเกะรบกวน จนถึงปัญหาการต่อเติมบ้านที่ผิดกฏหมาย รุกล้ำหรือละเมิดเพื่อนบ้าน เหล่านี้เป็นปัญหาที่ไม่เคยมีข้อแก้ไขได้ เพราะคนไทยไม่เคยเคารพสิทธิ์ผู้อื่น และเป็นชนชาติที่มักง่ายที่สุดในโลกครับ

การซื้อบ้านจึงมีความเสี่ยงในข้อนี้ และยิ่งต่างฝ่ายต่างก็แรง ทะเลาะกันจนมองหน้าไม่ติด จะยิ่งเพิ่มความเครียดในการอยู่อาศัย แม้บ้านจะคือ วิมานของเรา แต่ดันมี วิ"มาร" ข้างบ้านแถมมาด้วยแบบนี้ เราคงอยู่ไม่มีความสุขเป็นแน่ ตรงกันข้ามกับคอนโด ซึ่งอยู่กันแบบห้องใครห้องมัน ห้องติดกันบางทีไม่เคยเห็นหน้ากันเลย แม้จะมีการรบกวนกันบ้างเพราะแชร์ผนังร่วม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาเรื่องเสียงยามวิกาลเช่น "อู้ว.. อ้า... โอ้ว..." แบบนี้มากกว่า ซึ่งบางคนไม่ถือว่าเสียงแบบนี้เป็นเสียงรบกวน แถมชอบฟังอีกตะหาก ^_^

ปัญหาการเลี้ยงหมา
หมาและแมวเป็นสัตว์ที่ไม่พึงปรารถนาของคอนโดเกือบทุกแห่ง แม้ว่ากฏหมายไม่ได้ห้ามเลี้ยงสัตว์ในอาคารชุด แต่คอนโดส่วนใหญ่มักจะออกกฏห้ามเลี้ยงหมาไว้เสมอ ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบเจ้าสี่ขาหน้าขนนี้ คงต้องทำใจว่า การซื้อบ้านอยู่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าครับ

ปัจจุบันคอนโดมิเนี่ยมบางแห่งอนุญาตให้เลี้ยงหมาได้ โดยกำหนดน้ำหนักตัวไม่ให้เยอะเกินกำหนด เพราะหมาใหญ่หากเลี้ยงในที่แคบจะเป็นการทรมานสัตว์เกินไป ถ้าหมาตัวเล็กๆถ้าเจ้าของดูแลอย่างดี ไม่ให้รบกวนผู้อยู่อาศัยคนอื่นนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ในต่างประเทศเขาออกกฏด้วยซ้ำว่า ถ้าเลี้ยงหมาในคอนโดคุณต้องพามันออกมาเดินเล่นวันละอย่างน้อย 1 ครั้งเพื่อไม่ให้หมาเครียด

เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ข้างๆคอนโดที่ผมอยู่ ย่านอโศก อนุญาตให้เลี้ยงหมาได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว เลี้ยงได้ทั้งหมาเล็กหมาใหญ่ แถมยังจัดสนามหญ้าให้หมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน คนที่พักที่นั่นเป็นชาวต่างชาติเกือบทั้งหมดเพราะค่าเช่าแพงมาก เริ่มต้น 5 หมื่นบาทต่อเดือน ทั้งหมาทั้งคนอยู่กันอย่างมีความสุข เป็นที่อิจฉาของผมและไอ้โร่อย่างยิ่ง -_-'

ข้อเปรียบเทียบด้านการลงทุน
ทั้งบ้านและคอนโดต่างก็เป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องต่ำทั้งคู่ แต่คอนโดมิเนียมจะมีสภาพคล่องที่ดีกว่าบ้านเดี่ยว นั่นคือ ซื้อง่ายขายคล่องกว่า เปลี่ยนมือกันง่าย และที่สำคัญคือ ชาวต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนี่ยมได้แต่ซื้อบ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ ไม่ได้นะครับ กฏหมายไทยอนุญาตให้คนต่างด้าวถือครองอาคารชุดได้ แต่ต้องไม่เกิน 49% ของเจ้าของร่วมทั้งหมด ซึ่งเป็นการเพิ่ม Supply ในตลาดซื้อขายเป็นจำนวนมาก นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่การลงทุนซื้อคอนโดได้เปรียบกว่าการซื้อบ้านครับ

ส่วนเรื่องที่ว่า ซื้อบ้านได้ที่ดิน ซื้อคอนโดได้อากาศนั้น ผมได้อธิบายไปแล้วใน blog 01 ว่าซื้อคอนโดก็ได้ที่ดินเหมือนบ้านนั่นแหละ ผู้สนใจลองกลับไปอ่านดูเด้อ

บทสรุป
ตามที่ว่ามาทั้งหมด บ้านและคอนโดต่างก้อมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป

ด้วยเหตุนี้หากคุณเป็นคนโสด เพิ่งเรียนจบ เพิ่งทำงาน ไม่มีภาระและพันธะใดๆ รักอิสระ ชอบปาร์ตี้ ชอบช๊อปปิ้ง ชอบท่องเที่ยว เกลียดการทำงานบ้าน การอยู่คอนโดมิเนียมน่าจะเหมาะสมกว่าอยู่บ้านเดี่ยวอันไกลโพ้น

แต่ถ้าคุณเป็นคนรักสงบ รักการขับรถส่วนตัว เกลียดการเข้าสังคม ไม่ชอบให้เพื่อนมาบ้าน รักต้นไม้ใบหญ้า ชอบเลี้ยงหมาแมว ซื้อบ้านเดี่ยวอยู่จะเหมาะกว่าครับ

อ้าว แล้วถ้าชอบหมดเลยอ่ะ รักสงบ รักธรรมชาติแต่ก็ชอบอยู่ใจกลางเมืองอ่ะ ชอบช๊อปปิ้งด้วยอ่ะ ทำไงดี

ก็ซื้อมันทั้งบ้านทั้งคอนโดสิครับท่าน!! 555

ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cbun&month=23-11-2009&group=6&gblog=9

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยตนเอง ตอนที่ 4: เทคนิคการค้นหา Growth Stock

รายงานโดย :  กฤษฏา เสกตระกูล  : วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


เราจำเป็นต้องรู้จักวิธีคัดสรรหลักทรัพย์ เพื่อรวบรวมจำนวนหลักทรัพย์เป้าหมาย ที่น่าสนใจลงทุน และตัดหรือคัดหลักทรัพย์ที่ไม่น่าสนใจออกไป

ก่อนที่เราจะเจาะลึกศึกษาหลักทรัพย์ที่ตัดเลือกไว้ได้แล้วนั้นต่อไป การคัดสรรนี้เป็นศิลปะซึ่งต้องฝึกฝนปฏิบัติ ในครั้งแรกๆ ที่เราคัดสรร เราอาจจะได้จำนวนหลัก ทรัพย์มากไปหรือน้อยไป เราก็อาจปรับปรุงเกณฑ์ในการคัดสรรให้เข้มขึ้นหรืออ่อนลงจนทำให้ได้จำนวนของหลักทรัพย์เป้าหมายที่เราต้องการได้

ในตอนนี้จะอธิบายถึงเกณฑ์ในการค้นหา หุ้นเติบโต (Growth Stock) ซึ่งหมายถึง หุ้นของบริษัทที่ยังขยายตัวดี ทั้งสินทรัพย์ ยอดขาย กำไร และเป็นที่ต้องการในตลาด ราคาหลักทรัพย์มีแนวโน้มเติบโต โดยเกณฑ์การคัดหุ้นเติบโตนี้สรุปมาจาก www.quicken. com ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์ทั่วไป ต้องนำมาปรับถ้าจะประยุกต์ใช้ กรณีหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้เว็บไซต์นี้จะบอกวิธีการคัดหุ้น โดยดึงเฉพาะหุ้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตของรายได้หรือยอดขายต่อปีไม่ต่ำกว่า 20% และมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อปีไม่ต่ำกว่า 18% มี ROA (Rreturn on Asset) ไม่ต่ำกว่า 8% ต่อปี

โปรแกรมภายใต้เว็บไซต์ของ Quicken มีเมนูที่จะให้เรากำหนดค่าสูงสุดและต่ำสุด ของค่าตัวแปรที่สำคัญได้เองด้วย นอกเหนือจากตัวแปรหลัก 3 ตัวที่ได้กล่าวไปแล้ว ในโปรแกรมยังกำหนดตัวแปรอื่นๆ เพิ่มเติมได้ตามที่เราต้องการ เช่น

มูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) เช่น มีการกำหนดว่าจะต้องไม่ต่ำกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐ (สำหรับตลาดสหรัฐ) การมีขนาดของมูลค่าตามราคาตลาดที่ไม่สูงจะถูกจัดว่าเป็นหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap) ซึ่งมีโอกาสเติบโตได้ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง

อัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (Price to Sales Ratio) กำหนดอัตราส่วนขั้นต่ำไว้ที่ 2 เท่า และสูงสุด 9 เท่า ถ้า P/S มีค่าต่ำมากๆ เป็นสัญญาณบอกว่าหุ้นนั้นมีราคาถูก โดยที่ยอดขายของบริษัท 1 บาท นักลงทุน รับรู้ไปที่ราคาหลักทรัพย์ในราคาที่ต่ำมาก ซึ่ง แปลได้ 2 ทางคือ เป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจสมควรแล้วที่ราคาถูก กับเป็นหุ้นดีราคาถูก ซึ่งเราต้องวิเคราะห์ต่อไป มีข้อสังเกตว่าหุ้นของบางอุตสาหกรรม เช่น ในอุตสาหกรรมค้าปลีก หรือห้างสรรพสินค้ามักมียอดขายสูง แต่มีกำไรต่อหน่วยค่อนข้างต่ำกว่า 2 ลงไปอีก ก็ได้

อัตราการเติบโตของยอดขาย (Revenue Growth) กำหนดอัตราขั้นต่ำ ของการเติบโตของรายได้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เท่ากับ 15% ต่อปี และของในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมาและ 1 ปีที่ผ่านมาเท่ากับ 20% ต่อปี
การกำหนดตัวเลขของการเติบโตของ ยอดขายในช่วง 5 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าได้หุ้น ของบริษัทที่มีการเติบโตของยอดขายมายาวนานเพียงพอ และการกำหนดอัตราขั้นต่ำ 20% สำหรับการเติบโตของยอดขายในช่วง 1-3 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการกำหนดแบบ Aggressive

การประเมินของนักวิเคราะห์ (Analysts Consensus Ratings) กำหนดค่าขั้นต่ำไว้ที่ 2 โดยปกตินักวิเคราะห์จะมีการประเมินคำแนะนำเกี่ยวกับหุ้นเอาไว้ เช่น ให้ซื้อ ถือเอาไว้ และขาย ถ้านำเอาคำแนะนำของนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หลายๆ แห่งเกี่ยวกับหุ้นนั้นมาพิจารณา เรียกว่า เป็นการดูแบบ Consensus ในที่นี้ถ้าให้คำ แนะนำซื้อแบบ Strong Buy มีค่าเป็น 1 ซื้อแบบ Buy มีค่าเป็น 2 ถือไว้มีค่าเป็น 3 ขายแบบ Weak Sell มีค่าเป็น 4 และขายแบบ Strong Sell มีค่าเป็น 5 ถ้าพิจารณาจาก ค่าเฉลี่ย Consensus ของคำแนะนำของหุ้นตัวหนึ่งๆ การกำหนดค่า 2 ถือเป็นค่าสูงสุดสำหรับ Weak Buy ถ้าค่าเกินกว่า 2 ไม่ควรแนะนำให้ซื้อเข้ากลุ่มหลักทรัพย์ และควร ตัดหลักทรัพย์นั้นออกจากการพิจารณา

กำไรส่วนที่เกินจากการพยากรณ์ในไตรมาสที่ผ่านมา (Latest Quarter Earnings Surprise) การกำหนดค่าขั้นต่ำ ไว้ที่ 0% ช่วยตัดบริษัทที่มีผลกำไรต่ำกว่าการพยากรณ์ของนักวิเคราะห์ออกไป (ซึ่งเราเรียกว่าเป็นบริษัทที่มี Negative Surprise) ในรายงานงบการเงินของไตรมาสล่าสุด ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในหลักทรัพย์เชื่อว่า บริษัทที่มี Negative Surprise นี้ เป็นสัญญาณบอกว่าจะมี More Negative Surprises เพิ่มขึ้นในอนาคต


ที่มา http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=77643

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กระเป๋าเล็กกระเป๋าใหญ่


เกิดคดีความฟ้องร้องต่อศาล


ชายเหี้ยมหาญฮึกสยบตบผู้หญิง

สอบปากคำจำเลยเผยความจริง

เหตุผลติงสำนวนต่อน่าพอใจ

พิจารณาสรุปความคำถามสุดท้าย

จำเลยชายต้องตอบคำถามใหม่

“คุณเป็นชายแล้วไปตบหล่อนทำไม

เหตุผลใดให้การมาอย่าโมเม”

ชายเหลือบดูคู่กรณีเห็นทีหยิ่ง

แล้วให้การตามจริงไม่หันเห

ผมเจอหล่อนที่ป้ายจอดรถเมล์

ยืนหน้าเบ้บุญไม่รับอัประมาณ

ขึ้นรถเมล์คันเดียวกันมันงี่เง่า

พอกระเป๋าเขามาเก็บค่าโดยสาร

เธอสำแดงฤทธิ์เดชบอกออกอาการ

สุดทนทานนั่งข้างเธอ ผมเผลอไป

เธอเปิดกระเป๋าใหญ่แล้วหยิบกระเป๋าเล็ก

เปิดกระเป๋าเล็กแล้วปิดกระเป๋าใหญ่

หยิบแบงก์จากกระเป๋าเล็กในทันใด

แล้วเปิดกระเป๋าใหญ่ในทันที

เธอปิดกระเป๋าเล็กแล้วใส่ลงกระเป๋าใหญ่

ส่งเงินให้เด็กกระเป๋าขมันขมี

พลางปิดกระเป๋าใหญ่ไม่รอรี

ครั้นรับตั๋วทันทีเธอฉับไว

เปิดกระเป๋าใหญ่แล้วหยิบกระเป๋าเล็ก

เปิดกระเป๋าเล็กแล้วเปิดกระเป๋าใหญ่

เอาตั๋วใส่กระเป๋าเล็กอย่างเร็วไว

แล้วเธอเปิดกระเป๋าใหญ่ไม่รอช้า

ปิดกระเป๋าเล็กแล้วใส่ลงกระเป๋าใหญ่

แล้วก็ปิดกระเป๋าใหญ่อย่างแน่นหนา

รับตังค์ทอนจากกระเป๋าแล้วกานดา

เปิดกระเป๋าใหญ่เเล้วหยิบหากระเป๋าเล็ก

เปิดกระเป๋าเล็กแล้วปิดกระเป๋าใหญ่

ตังค์ทอนใส่กระเป๋าเล็กแล้วปิดแหง็ก

หยิบกระเป๋าใหญ่แล้วเปิดใส่กระเป๋าเล็ก

ปิดกระเป๋าใหญ่เเล้วปิดเช็คเหมือนเช่นเคย

ครั้นนายตรวจขึ้นมาหาช้าไม่

เธอเปิดกระเป๋าใหญ่หยิบกระเป๋าเล็กหน้าตาเฉย

ปิดกระเป๋าใหญ่ปิดกระเป๋าเล็กไม่ช้าเลย

หยิบตั๋วเผยให้นายตรวจได้ตรวจตรา

แล้วปิดกระเป๋าเล็กก่อนเปิดกระเป๋าใหญ่

ใส่กระเป๋าเล็กลงไปไม่กังขา

แล้วเธอปิดกระเป๋าใหญ่ไม่รอรา

พอรับตั๋วกลับมามิช้าไย

เปิดกระเป๋าใหญ่แล้วหยิบกระเป๋าเล็ก

เปิดกระเป๋าเล็กแล้วปิดกระเป๋าใหญ่

เอาตั๋วใส่กระเป๋าเล็กแล้วปิดไว

เปิดกระเป๋าใหญ่ใบเล็กใส่จนนัวเนีย

ตุลาการนั่งฟังความตามคดี

บอกหยุดทีฟังแล้วน่าเวียนหัว

กระเป๋าเล็กกระเป๋าใหญ่ดูพันพัว

น่าเวียนหัวพัลวันพอกันที

จำเลยชายได้จังหวะจึงฉะฉาน

ข้าแต่ศาลที่เคารพคิดดูถี

ท่านเพียงฟังยังเวียนหัวถึงเพียงนี้

แล้วผมนี่นั่งข้างหล่อนจะทนไย

ตุลาการพินิจผลถึงต้นเหตุ

พิจารณาพิเศษเห็นสมควรจะตบได้

จึงยกฟ้องปลดปล่อยจำเลยไป

กระเป๋าเล็กกระเป๋าใหญ่พอกันที

..............................

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หมากับปลากระป๋อง แง่คิดดีๆ ที่อยากให้อ่านจัง

ได้รับ fwd เมล์จากเพื่อนคนนึงมา อ่านแล้วดีมาก ๆ อยากให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันค่ะ