วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พระนั่งอยู่‏


มีพระอยู่ 1 รูป เดินผ่านเข้าไปในเขตที่กำลังเกิดสงครามอยู่

จึงถูกทหารนายหนึ่งจับเป็น เชลย

แต่ว่าระหว่างทางที่ทหารจะพาพระกลับไปในเมือง

ก็ได้เดินผ่านร้านเหล้า จึงเกิดอยากเหล้าขึ้นมา

จึงได้แวะดื่มก่อน ทหารก็ได้คิดอย่างรอบคอบ

ก่อนที่จะเมาหลับไปจึงนำกุญแจมือล็อกพระติดกับตนเองไว้

หลังจากนั้นก็ได้เมาหลับไป.....

พระจึงแอบหยิบกุญแจมาไขแล้ว

จัดการสลับเสื้อผ้าของทหารกับพระ

จากนั้น...พระก็จัดการโกนผม ให้ทหารคนนั้น

เวลาผ่านไป จนกระทั่ง ทหารเริ่ม สร่าง (รึป่าวหว่า)

จึงตื่นขึ้นมาแล้วหันมองทางซ้ายทีทางขวาที

ก็ไม่เจอพระ จึง ส่องกระจก และมองชุดที่สวมใส่


และอุทานขึ้นว่า "พระยังอยู่ แล้วตรูไปไหนว่ะ!!!"

เคยเห็นตัวเม่น ตอนเด็ก ๆ ป่าว?‏


















วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อยู่บ้าน หรืออยู่คอนโด ดีกว่ากัน?




การซื้อที่อยู่อาศัยนั้นเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในชีวิต เพราะเราไม่ได้ซื้อกันบ่อยๆ ดังนั้นจึงมีคำถามเสมอว่า ซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมดีกว่ากัน

คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่แน่นอน เพราะเงื่อนไขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับฐานะการเงิน รายได้ สถานภาพสังคม ที่ทำงาน โสดหรือแต่งงาน เพศ อายุ ทัศนคติ และอีกหลายอย่าง ซึ่งอาจแตกต่างกันไป ตามจังหวะของชีวิต เช่น ช่วงหนุ่มสาวหรือเพิ่งแต่งงาน การอยู่คอนโดอาจจะเหมาะสม แต่เมื่อมีลูกก็อาจจะอยากไปอยู่บ้านเดี่ยว และเมื่อลูกโตเข้าโรงเรียน หลายครอบครัวกลับต้องมาซื้อคอนโดอีกรอบ

เราจะมาคุยเรื่องข้อดีข้อเสียของการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม เทียบกับบ้านเดี่ยวหรือทาวเฮ้าส์ กันนะครับ

ความสะดวกสบายในการเดินทาง
แน่นอนว่า ในจำนวนเงินเท่าๆกัน ถ้าเลือกคอนโดมิเนียม จะได้ทำเลที่การคมนาคมสะดวกกว่าบ้านเดี่ยวหรือทาวเฮ้าส์ ทำให้ประหยัดเวลาในการเดินทาง ได้มีเวลาเหลืออยู่กับครอบครัวมากขึ้น การอยู่คอนโดที่ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะเช่นรถไฟฟ้า ทำให้ความจำเป็นในการใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง จึงประหยัดค่าใช้จ่ายค่าน้ำมัน ค่า บำรุงรักษา ค่าที่จอดรถ ฯลฯ ไปได้เยอะ และยังช่วยลดโลกร้อนอีกด้วยนะครับ In-trend ไปเลย

บ้านเดี่ยวสมัยนี้อยู่ไกลมากๆ จนไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างกันได้ไกลขนาดนั้น ครอบครัวที่ทำงานในใจกลางเมืองแต่บ้านอยู่ชานเมืองนั้นต้องเสียเวลาอยู่ในรถอย่างน้อยๆวันนึงไม่ต่ำกว่า 4-5 ชม. ซึ่งก่อให้เกิดความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ กลับมาบ้านก็เหนื่อยจนหมดแรง อุตส่าห์จัดสวนไว้อย่างสวยงามก็ไม่ได้ชื่นชมนอกจากวันหยุด (แต่ต้องพาลูกออกไปเรียนพิเศษอีก) บ้านที่อยู่ไกลมากๆ สมาชิกที่ไม่มีรถต้องรีบกลับให้เร็วเพราะถ้ากลับดึกอยู่กันลึกในซอยเปลี่ยว นั้นสุ่มเสี่ยงต่อการถูกแท็กซี่จี้ปล้น เทียบกับการอยู่คอนโด จะปาร์ตี้จนเมาปลิ้นแค่ไหนก็กลับมาห้องได้ง่าย เพื่อนๆยินดีขับรถมาส่ง แต่ถ้าบ้านอยู่ลำลูกกา คลองสิบหก แบบนี้มีแต่คนเกี่ยงกันครับ ^^'

บรรยากาศการอยู่อาศัย
ประเด็นนี้บ้านเดี่ยวจะได้เปรียบคอนโด การอยู่ห่างจากใจกลางเมืองอันวุ่นวายทำให้บรรยากาศการอยู่อาศัยเงียบสงบ ไม่มีเสียงอึกทึกพลุกพล่านจากถนนและเสียงการจราจร อากาศบริสุทธิ์ปราศจากควันพิษ ตื่นเช้ามามีเสียงนกร้องจิ๊บๆ ในขณะที่คอนโดมีแต่เสียงจราจรเป่านกหวีดปริ๊ดๆ อยู่บ้านชานเมืองยังได้สูดกลิ่นหอมของพื้นหญ้า กลิ่นดิน กลิ่นต้นไม้ใบไม้ กลิ่นฝนตกใหม่หอมๆ แต่อยู่คอนโดได้แต่กลิ่นท่อไอเสียและท่อระบายน้ำ อยู่บ้านเดี่ยวได้วิ่งรอบทะเลสาบรอบหมู่บ้าน อยู่คอนโดได้แต่วิ่งอยู่บนสายพาน ขืนลงมาวิ่งข้างล่างมีหวังโดนรถทับตายพอดี ดังนั้นเรื่องคุณภาพชีวิตนี้บ้านเดี่ยวชนะคอนโดครับ


สิ่งอำนวยความสะดวก
หลักการของคอนโดมิเนี่ยมนั้นคือการ"แชร์" Facilities อันได้แก่ สระว่ายน้ำ สวนพักผ่อน ห้องออกกำลังกาย ห้องซาวน่า สตีม และอื่นๆ ซึ่งต้นทุนสูงและมีค่าใช้จ่ายในการ maintenance ที่สูงเช่นกัน แต่ของเหล่านี้เราไม่ได้ใช้งานบ่อยนัก การลงทุนซื้อมาไว้เล่นในบ้านคนเดียวจึงเป็นภาระที่หนักและสิ้นเปลือง ถึงแม้ว่า ในหมู่บ้านจัดสรรสมัยใหม่จะมี facilities เหล่านี้ในสโมสรหมู่บ้าน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว คอนโดมักจะมี facilites เหล่านี้มากกว่า ใช้งานสะดวกกว่า แค่กดลิฟท์ก็ลงมาว่ายน้ำได้ไม่ต้องขี่จักรยานจากท้ายหมู่บ้าน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยก็ถูกกว่าเพราะจำนวนห้องที่มากกว่านั่นเอง ดังนั้นคอนโดจึงได้เปรียบบ้านเดี่ยวในข้อนี้ครับ

ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
เทียบกันแล้ว คอนโดมิเนียมมีสถิติการถูกโจรกรรมน้อยกว่าบ้านเดี่ยวมาก โดยเฉพาะคอนโดระดับ B, A ขึ้นไป ซึ่งมีทั้งยามรักษาความปลอดภัยเดินตรวจตรา 24 ชั่วโมง มีกล้องวงจรปิดคอยบันทึกการเข้าออกทั้งใน lobby และในลิฟท์ การเข้าออกอาคารต้องแลกบัตรและใช้ Key card ทำให้ยากต่อการบุกรุก

อยู่คอนโดออกจากห้องแค่ปิดประตูก็จบ แต่บ้านเดี่ยวหรือทาวเฮ้าส์นั้นออกจากบ้านทีเป็นเรื่องใหญ่ ต้องไล่ปิดล๊อกประตูทุกบาน หน้าต่างต้องติดเหล็กดัดทั้งหมด ถ้าไม่ติดเหล็กดัดก็ต้องติดสัญญาณกันขโมยให้สิ้นเปลืองอีก จะทิ้งบ้านไปไหนไกลๆทีก็ต้องกังวล วิ่งไปฝากบ้านไว้กับตำรวจ บางคนแค่ไปทำงานกลับมาเจอบ้านโล่ง ไอ้โจรห้าร้อยเข้ามากวาดทรัพย์สินไปเกลี้ยง แม้แต่คอมเพรสเซ่อร์แอร์มันยังถอดเอาไปได้ และที่แย่กว่านั้น นอกจากเอาของไปแล้วบางทีไอ้โจรยังทำร้ายหรือข่มขืนเจ้าทรัพย์อีก ตามที่เห็นในข่าวอยู่ประจำ

ภัยจากแผ่นดินไหว
หลายคนกลัวการอยู่คอนโดมิเนียมด้วยเหตุผลนี้ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ตึกสูงๆกลับปลอดภัยต่อแผ่นดินไหวมากกว่าตึกเตี้ย ยิ่งสูงยิ่งปลอดภัยครับ เหตุผลคือ การออกแบบอาคารสูงนั้น วิศวกรจะต้องคำนวณฐานรากและโครงสร้างอาคารให้แข็งแรงต้านทานแรงลมไว้อยู่แล้ว ซึ่งทำให้สามารถต้านแรงจากแผ่นดินไหวได้ด้วย เพราะแรงจากแผ่นดินไหวเป็นแรงชนิดเดียวกัน คือ กระทำต่ออาคารทางด้านข้าง

ลองนึกภาพว่าเอาขวดเป๊บซี่ตั้งบนกล่องพิซซ่าแล้วเลื่อนกล่องไปมา ขวดจะโอนเอน ถ้าเลื่อนกล่องแรงๆขวดก็ล้ม นั่นละครับลักษณะการกระทำของแผ่นดินไหว หากเปรียบเทียบกับเอาเทียนปักบนเค้กวันเกิดแล้วลองเลื่อนถาดเค้กไปมาบ้าง เทียนที่ปักอยู่ในเค้กย่อมจะล้มยากใช่ไหมครับ เปรียบเสมือนอาคารสูงที่มีฐานรากเสาเข็มยาวจนถึงชั้นหินแข็ง ทำให้ต้านทานแรงจากแผ่นดินไหวและแรงลมได้

หากดูรายงานข่าวแผ่นดินไหวในต่างประเทศ จะพบว่า อาคารที่พังถล่มมักจะเป็นตึกเตี้ยๆ สูงไม่กี่ชั้น แทบไม่เคยเห็นข่าวอาคาร 20-30 ชั้นถล่มด้วยเหตุแผ่นดินไหวเลย

ปัจจุบันความกลัวภัยแผ่นดินไหวในประเทศไทยมีมากขึ้น ทางการได้ออกกฏใหม่ให้พื้นที่จังหวัดที่มีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวเช่นภาคเหนือและภาคตะวันตก ต้องออกแบบอาคารให้ต้านทานแผ่นดินไหวได้ในระดับหนึ่ง

ในความคิดเห็นของผม การอยู่คอนโดมิเนียมนั้น ภัยจากแผ่นดินไหวไม่น่ากลัวเท่า "อัคคีภัย" ครับ


  
ภัยจากอัคคีภัย
คอนโดมิเนียมนั้นเป็นความพยายามที่จะ"ฝืน"ธรรมชาติในการอยู่อาศัยให้ได้จำนวนมากในพื้นที่จำกัด ดังนั้นหากเกิดไฟไหม้ขึ้นย่อมทำความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินในนั้นได้มากกว่าบ้านเดี่ยว ซึ่งนับเป็นข้อด้อยอย่างหนึ่งของคอนโดมิเนียม จะเห็นว่า อาคารสูงทุกแห่งจึงต้องออกแบบให้มีระบบป้องกันอัคคีภัย มีการซ้อมหนีไฟอยู่เป็นประจำทุกปี

อาคารสูงนั้น ยิ่งสูงมากเท่าไรยิ่งต้องมีระบบป้องกันอัคคีภัยที่สูงขึ้นตาม กฏหมายประเทศไทยกำหนดว่า อาคารที่สูงเกิน 23 เมตร หรือราวๆ 8 ชั้น ขึ้นไป ถือว่าเป็น "อาคารสูง" ซึ่งต้องจัดให้มีระบบป้องกันตัวเองจากเพลิงไหม้ เหตุผลก็คือบันไดของรถดับเพลิงยื่นไปได้สูงไม่เกิน 8 ชั้นนั่นเองครับ (ที่ยื่นไม่ได้มากกว่านี้เพราะเหตุผลด้านความปลอดภัยของนักดับเพลิง และถ้าบันไดยาวมากรถดับเพลิงเลี้ยวไม่พอครับ)


เริ่มตั้งแต่การติดตั้งสัญญาณแจ้งเตือนเช่น Smoke detector หรือ Heat detector ที่เห็นเป็นก้อนกลมๆแปะอยู่ตามเพดานนั่นละครับ หากตรวจจับควันไฟหรือความร้อนได้ มันจะส่งสัญญาณไปที่ห้องช่างประจำตึก เพื่อรีบมาดับเพลิงเสียก่อนจะลุกลาม หากเพลิงรุนแรงถึงระดับหนึ่ง หัว Sprinkler บนเพดานจะแตกออกเพื่อฉีดน้ำลงมาดับไฟ และถ้ามันยังลุกลามต่อไปอีก คราวนี้ก็เป็นหน้าที่นักผจญเพลิงที่จะขึ้นมาทางลิฟท์ดับเพลิง เพื่อทำการดับไฟด้วยวิธีของผู้ชำนาญ ในขณะที่ผู้อาศัยจะอพยพลงทางบันไดหนีไฟซึ่งมีระบบอัดอากาศภายในเพื่อมิให้ควันไฟจากภายนอกเข้ามาข้างในปล่องบันไดได้ หรือขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่อรอเฮลิคอปเตอร์มาช่วยเหลือ ฯลฯ

การป้องกันอัคคีภัยนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากในการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมและทุกๆอาคารสูง ดังนั้นในการซ้อมหนีไฟประจำปี ผู้ที่อยู่อาศัยทุกคนควรเข้าร่วมนะครับ เพราะไม่ได้แค่วิ่งเล่นขำขำ แต่เจ้าหน้าที่จะมาสาธิตการใช้งานเครื่องมือดับเพลิง อธิบายหลักการต่างๆ ตลอดจนเทคนิคต่างๆ เพื่อฝึกซ้อมไม่ให้ประมาท และให้มีสติเวลาเกิดเหตุการณ์จริง ซึ่งมันจะรุนแรงกว่าการซ้อมหลายร้อยเท่า

ประเด็นเรื่องอัคคีภัยในอาคารเราจะมาคุยกันใน blog หลังๆ เพราะมีรายละเอียดเยอะมากกกก และมันไม่เหมือนที่เห็นในหนังฮอลีวู๊ดเลยแม้แต่น้อยครับ

อาคารที่สร้างมานานแล้ว ก่อนกฏหมายอาคารสูงบังคับใช้ในปี 2535 นั้น กฏระเบียบเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัยจะไม่เข้มข้นเท่าตึกที่สร้างใหม่ ดังนั้นการเลือกซื้อคอนโดมิเนียมเก่า ต้องระวังเรื่องนี้ด้วย เพราะตึกเก่านั้นมักจะไม่ลงทุนอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัยอย่างสปริงเกอร์ ถ้าเลือกได้ ควรเลือกห้องใกล้ๆบันไดหนีไฟไว้ก็จะดีกว่า อย่างน้อยก็อุ่นใจกว่า มีอะไรปุ๊บปุ๊บจะได้เผ่นลงบันไดได้ทันที


การบำรุงรักษา
อาคารทุกชนิดย่อมมีการเสื่อม (Depreciate) สำหรับคอนโดมิเนียมนั้น อุปกรณ์ต่างๆมีมากกว่าบ้านเดี่ยว ตั้งแต่ ลิฟท์ ปั๊มน้ำ เครื่องปั่นไฟสำรอง (Generator) บ่อบำบัดน้ำเสีย หม้อแปลงไฟฟ้า และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ต้องการการบำรุงรักษาเพื่อให้อยู่ในสภาพดี แต่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นการแชร์กันของเจ้าของร่วม ดังนั้น หากจำนวนยูนิตของห้องพักมีมากพอสมควร เมื่อหารเฉลี่ยออกมาเจ้าของแต่ละคนจึงจ่ายไม่มากนัก กลับกัน คอนโดที่มีจำนวนยูนิตน้อยๆ จำนวนชั้นไม่สูงมาก ค่า maintenance เหล่านี้จะแพงมากเมื่อคิดเฉลี่ยต่อคน และจะแพงมากขึ้นไปอีกเมื่ออาคารนี้มีอายุมากขึ้น เราจึงเห็นคอนโดขนาดเล็กจำนวนมากทรุดโทรม ขาดการบำรุงรักษา ด้วยเหตุว่า ค่าส่วนกลางถูก เก็บเพิ่มไม่ได้เจ้าของร่วมไม่ยอมจ่าย แต่ในคอนโดขนาดใหญ่หลายร้อยยูนิต อาคารกลับคงสภาพดีอยู่ ดังนั้นการเลือกคอนโดมิเนียมจึงต้องคำนึงถึงค่า maintenance เหล่านี้ ว่ามี economic of scale พอหรือไม่ด้วยครับ

สำหรับบ้านเดี่ยวนั้น ค่าบำรุงรักษาไม่มากเท่าคอนโด แต่ก็ต้องมีการดูแลเช่นกัน มิฉะนั้นจะโทรม เช่น ดูแลสวน ทาสีใหม่เป็นครั้งคราว อุดซ่อมแซมรอยแตกร้าว น้ำรั่ว และดูแลเรื่องปลวก

ถึงแม้ว่าค่าบำรุงรักษาบ้านจะไม่มากนัก แต่ที่มากกว่า คือ การดูแลทำความสะอาด เพราะบ้านมีพื้นที่ใหญ่กว่า จำนวนหน้าต่างมากกว่า จึงสัมผัสฝุ่นมากกว่า และมีพื้นที่ส่วนสัญจร (Circulation area) มากกว่าคอนโด เช่น โถง บันได ซึ่งเป็นภาระในการดูแลรักษาความสะอาด วันหยุดทีนึง ต้องกวาดบ้านเช็ดบ้าน ล้างมุ้งลวด ดูดฝุ่นหยากไย่ ตัดหญ้าสนาม แต่งกิ่งต้นไม้ รดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยจิปาถะ หลายๆบ้านจึงต้องจ้างแม่บ้านทำความสะอาด สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเข้าไปอีก หากอยู่คอนโดจะมีค่าใช้จ่ายตรงนี้น้อยกว่า

ด้านสังคม
ข้อเสียอย่างหนึ่งของการอยู่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์คือ "เพื่อนบ้าน"
การอยู่บ้านนั้น "เพื่อนบ้าน"เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่คุณไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับ "เพื่อนคอนโด" ข้างห้องในคอนโดของคุณเลย

คำโบราณกล่าวไว้ว่า

เพื่อนบ้านดีเป็นศรีแก่ตัว เพื่อนบ้านชั่วเราไม่อยากได้
เพื่อนบ้านดีเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ เพื่อนบ้านจัญไรอยากแช่งให้ตายทุกวัน
เพื่อนบ้านมีน้ำใจเราสดใสไปด้วย เพื่อนบ้านเฮงซวยเราไม่อยากเจอมัน
แต่เพื่อนบ้านเรามีรถห้าคัน จอดยังไงละนั่นถ้าไม่ใช่หน้าบ้านเรา (อะจ๊าก! )
 (ผมแต่งเองแหละครับไม่ใช่โบราณที่ไหนหรอก)

ปัญหาเพื่อนบ้านเป็นปัญหาโลกแตก พบได้ทุกหมู่บ้านไม่ว่าจะยากดีมีจน ไฮโซแค่ไหนคุณก็มีโอกาสได้พบเจอ Neighbour from Hell ครับ เพราะบ้านมันติดกัน ย่อมมีโอกาสกระทบกระทั่งกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแย่งที่จอดรถ ปัญหาสัตว์เลี้ยงเห่า ปัญหากลิ่นอาหาร ปัญหาทิ้งขยะ ปัญหาหมาขี้หน้าบ้าน ปัญหาเสียงคาราโอเกะรบกวน จนถึงปัญหาการต่อเติมบ้านที่ผิดกฏหมาย รุกล้ำหรือละเมิดเพื่อนบ้าน เหล่านี้เป็นปัญหาที่ไม่เคยมีข้อแก้ไขได้ เพราะคนไทยไม่เคยเคารพสิทธิ์ผู้อื่น และเป็นชนชาติที่มักง่ายที่สุดในโลกครับ

การซื้อบ้านจึงมีความเสี่ยงในข้อนี้ และยิ่งต่างฝ่ายต่างก็แรง ทะเลาะกันจนมองหน้าไม่ติด จะยิ่งเพิ่มความเครียดในการอยู่อาศัย แม้บ้านจะคือ วิมานของเรา แต่ดันมี วิ"มาร" ข้างบ้านแถมมาด้วยแบบนี้ เราคงอยู่ไม่มีความสุขเป็นแน่ ตรงกันข้ามกับคอนโด ซึ่งอยู่กันแบบห้องใครห้องมัน ห้องติดกันบางทีไม่เคยเห็นหน้ากันเลย แม้จะมีการรบกวนกันบ้างเพราะแชร์ผนังร่วม แต่ส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาเรื่องเสียงยามวิกาลเช่น "อู้ว.. อ้า... โอ้ว..." แบบนี้มากกว่า ซึ่งบางคนไม่ถือว่าเสียงแบบนี้เป็นเสียงรบกวน แถมชอบฟังอีกตะหาก ^_^

ปัญหาการเลี้ยงหมา
หมาและแมวเป็นสัตว์ที่ไม่พึงปรารถนาของคอนโดเกือบทุกแห่ง แม้ว่ากฏหมายไม่ได้ห้ามเลี้ยงสัตว์ในอาคารชุด แต่คอนโดส่วนใหญ่มักจะออกกฏห้ามเลี้ยงหมาไว้เสมอ ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบเจ้าสี่ขาหน้าขนนี้ คงต้องทำใจว่า การซื้อบ้านอยู่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าครับ

ปัจจุบันคอนโดมิเนี่ยมบางแห่งอนุญาตให้เลี้ยงหมาได้ โดยกำหนดน้ำหนักตัวไม่ให้เยอะเกินกำหนด เพราะหมาใหญ่หากเลี้ยงในที่แคบจะเป็นการทรมานสัตว์เกินไป ถ้าหมาตัวเล็กๆถ้าเจ้าของดูแลอย่างดี ไม่ให้รบกวนผู้อยู่อาศัยคนอื่นนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ในต่างประเทศเขาออกกฏด้วยซ้ำว่า ถ้าเลี้ยงหมาในคอนโดคุณต้องพามันออกมาเดินเล่นวันละอย่างน้อย 1 ครั้งเพื่อไม่ให้หมาเครียด

เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ข้างๆคอนโดที่ผมอยู่ ย่านอโศก อนุญาตให้เลี้ยงหมาได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว เลี้ยงได้ทั้งหมาเล็กหมาใหญ่ แถมยังจัดสนามหญ้าให้หมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน คนที่พักที่นั่นเป็นชาวต่างชาติเกือบทั้งหมดเพราะค่าเช่าแพงมาก เริ่มต้น 5 หมื่นบาทต่อเดือน ทั้งหมาทั้งคนอยู่กันอย่างมีความสุข เป็นที่อิจฉาของผมและไอ้โร่อย่างยิ่ง -_-'

ข้อเปรียบเทียบด้านการลงทุน
ทั้งบ้านและคอนโดต่างก็เป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องต่ำทั้งคู่ แต่คอนโดมิเนียมจะมีสภาพคล่องที่ดีกว่าบ้านเดี่ยว นั่นคือ ซื้อง่ายขายคล่องกว่า เปลี่ยนมือกันง่าย และที่สำคัญคือ ชาวต่างชาติสามารถซื้อคอนโดมิเนี่ยมได้แต่ซื้อบ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ ไม่ได้นะครับ กฏหมายไทยอนุญาตให้คนต่างด้าวถือครองอาคารชุดได้ แต่ต้องไม่เกิน 49% ของเจ้าของร่วมทั้งหมด ซึ่งเป็นการเพิ่ม Supply ในตลาดซื้อขายเป็นจำนวนมาก นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่การลงทุนซื้อคอนโดได้เปรียบกว่าการซื้อบ้านครับ

ส่วนเรื่องที่ว่า ซื้อบ้านได้ที่ดิน ซื้อคอนโดได้อากาศนั้น ผมได้อธิบายไปแล้วใน blog 01 ว่าซื้อคอนโดก็ได้ที่ดินเหมือนบ้านนั่นแหละ ผู้สนใจลองกลับไปอ่านดูเด้อ

บทสรุป
ตามที่ว่ามาทั้งหมด บ้านและคอนโดต่างก้อมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป

ด้วยเหตุนี้หากคุณเป็นคนโสด เพิ่งเรียนจบ เพิ่งทำงาน ไม่มีภาระและพันธะใดๆ รักอิสระ ชอบปาร์ตี้ ชอบช๊อปปิ้ง ชอบท่องเที่ยว เกลียดการทำงานบ้าน การอยู่คอนโดมิเนียมน่าจะเหมาะสมกว่าอยู่บ้านเดี่ยวอันไกลโพ้น

แต่ถ้าคุณเป็นคนรักสงบ รักการขับรถส่วนตัว เกลียดการเข้าสังคม ไม่ชอบให้เพื่อนมาบ้าน รักต้นไม้ใบหญ้า ชอบเลี้ยงหมาแมว ซื้อบ้านเดี่ยวอยู่จะเหมาะกว่าครับ

อ้าว แล้วถ้าชอบหมดเลยอ่ะ รักสงบ รักธรรมชาติแต่ก็ชอบอยู่ใจกลางเมืองอ่ะ ชอบช๊อปปิ้งด้วยอ่ะ ทำไงดี

ก็ซื้อมันทั้งบ้านทั้งคอนโดสิครับท่าน!! 555

ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cbun&month=23-11-2009&group=6&gblog=9

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยตนเอง ตอนที่ 4: เทคนิคการค้นหา Growth Stock

รายงานโดย :  กฤษฏา เสกตระกูล  : วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


เราจำเป็นต้องรู้จักวิธีคัดสรรหลักทรัพย์ เพื่อรวบรวมจำนวนหลักทรัพย์เป้าหมาย ที่น่าสนใจลงทุน และตัดหรือคัดหลักทรัพย์ที่ไม่น่าสนใจออกไป

ก่อนที่เราจะเจาะลึกศึกษาหลักทรัพย์ที่ตัดเลือกไว้ได้แล้วนั้นต่อไป การคัดสรรนี้เป็นศิลปะซึ่งต้องฝึกฝนปฏิบัติ ในครั้งแรกๆ ที่เราคัดสรร เราอาจจะได้จำนวนหลัก ทรัพย์มากไปหรือน้อยไป เราก็อาจปรับปรุงเกณฑ์ในการคัดสรรให้เข้มขึ้นหรืออ่อนลงจนทำให้ได้จำนวนของหลักทรัพย์เป้าหมายที่เราต้องการได้

ในตอนนี้จะอธิบายถึงเกณฑ์ในการค้นหา หุ้นเติบโต (Growth Stock) ซึ่งหมายถึง หุ้นของบริษัทที่ยังขยายตัวดี ทั้งสินทรัพย์ ยอดขาย กำไร และเป็นที่ต้องการในตลาด ราคาหลักทรัพย์มีแนวโน้มเติบโต โดยเกณฑ์การคัดหุ้นเติบโตนี้สรุปมาจาก www.quicken. com ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์ทั่วไป ต้องนำมาปรับถ้าจะประยุกต์ใช้ กรณีหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายใต้เว็บไซต์นี้จะบอกวิธีการคัดหุ้น โดยดึงเฉพาะหุ้นที่มีอัตราการเจริญเติบโตของรายได้หรือยอดขายต่อปีไม่ต่ำกว่า 20% และมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อปีไม่ต่ำกว่า 18% มี ROA (Rreturn on Asset) ไม่ต่ำกว่า 8% ต่อปี

โปรแกรมภายใต้เว็บไซต์ของ Quicken มีเมนูที่จะให้เรากำหนดค่าสูงสุดและต่ำสุด ของค่าตัวแปรที่สำคัญได้เองด้วย นอกเหนือจากตัวแปรหลัก 3 ตัวที่ได้กล่าวไปแล้ว ในโปรแกรมยังกำหนดตัวแปรอื่นๆ เพิ่มเติมได้ตามที่เราต้องการ เช่น

มูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) เช่น มีการกำหนดว่าจะต้องไม่ต่ำกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐ (สำหรับตลาดสหรัฐ) การมีขนาดของมูลค่าตามราคาตลาดที่ไม่สูงจะถูกจัดว่าเป็นหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap) ซึ่งมีโอกาสเติบโตได้ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง

อัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (Price to Sales Ratio) กำหนดอัตราส่วนขั้นต่ำไว้ที่ 2 เท่า และสูงสุด 9 เท่า ถ้า P/S มีค่าต่ำมากๆ เป็นสัญญาณบอกว่าหุ้นนั้นมีราคาถูก โดยที่ยอดขายของบริษัท 1 บาท นักลงทุน รับรู้ไปที่ราคาหลักทรัพย์ในราคาที่ต่ำมาก ซึ่ง แปลได้ 2 ทางคือ เป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจสมควรแล้วที่ราคาถูก กับเป็นหุ้นดีราคาถูก ซึ่งเราต้องวิเคราะห์ต่อไป มีข้อสังเกตว่าหุ้นของบางอุตสาหกรรม เช่น ในอุตสาหกรรมค้าปลีก หรือห้างสรรพสินค้ามักมียอดขายสูง แต่มีกำไรต่อหน่วยค่อนข้างต่ำกว่า 2 ลงไปอีก ก็ได้

อัตราการเติบโตของยอดขาย (Revenue Growth) กำหนดอัตราขั้นต่ำ ของการเติบโตของรายได้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เท่ากับ 15% ต่อปี และของในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมาและ 1 ปีที่ผ่านมาเท่ากับ 20% ต่อปี
การกำหนดตัวเลขของการเติบโตของ ยอดขายในช่วง 5 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าได้หุ้น ของบริษัทที่มีการเติบโตของยอดขายมายาวนานเพียงพอ และการกำหนดอัตราขั้นต่ำ 20% สำหรับการเติบโตของยอดขายในช่วง 1-3 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการกำหนดแบบ Aggressive

การประเมินของนักวิเคราะห์ (Analysts Consensus Ratings) กำหนดค่าขั้นต่ำไว้ที่ 2 โดยปกตินักวิเคราะห์จะมีการประเมินคำแนะนำเกี่ยวกับหุ้นเอาไว้ เช่น ให้ซื้อ ถือเอาไว้ และขาย ถ้านำเอาคำแนะนำของนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หลายๆ แห่งเกี่ยวกับหุ้นนั้นมาพิจารณา เรียกว่า เป็นการดูแบบ Consensus ในที่นี้ถ้าให้คำ แนะนำซื้อแบบ Strong Buy มีค่าเป็น 1 ซื้อแบบ Buy มีค่าเป็น 2 ถือไว้มีค่าเป็น 3 ขายแบบ Weak Sell มีค่าเป็น 4 และขายแบบ Strong Sell มีค่าเป็น 5 ถ้าพิจารณาจาก ค่าเฉลี่ย Consensus ของคำแนะนำของหุ้นตัวหนึ่งๆ การกำหนดค่า 2 ถือเป็นค่าสูงสุดสำหรับ Weak Buy ถ้าค่าเกินกว่า 2 ไม่ควรแนะนำให้ซื้อเข้ากลุ่มหลักทรัพย์ และควร ตัดหลักทรัพย์นั้นออกจากการพิจารณา

กำไรส่วนที่เกินจากการพยากรณ์ในไตรมาสที่ผ่านมา (Latest Quarter Earnings Surprise) การกำหนดค่าขั้นต่ำ ไว้ที่ 0% ช่วยตัดบริษัทที่มีผลกำไรต่ำกว่าการพยากรณ์ของนักวิเคราะห์ออกไป (ซึ่งเราเรียกว่าเป็นบริษัทที่มี Negative Surprise) ในรายงานงบการเงินของไตรมาสล่าสุด ที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในหลักทรัพย์เชื่อว่า บริษัทที่มี Negative Surprise นี้ เป็นสัญญาณบอกว่าจะมี More Negative Surprises เพิ่มขึ้นในอนาคต


ที่มา http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=77643

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กระเป๋าเล็กกระเป๋าใหญ่


เกิดคดีความฟ้องร้องต่อศาล


ชายเหี้ยมหาญฮึกสยบตบผู้หญิง

สอบปากคำจำเลยเผยความจริง

เหตุผลติงสำนวนต่อน่าพอใจ

พิจารณาสรุปความคำถามสุดท้าย

จำเลยชายต้องตอบคำถามใหม่

“คุณเป็นชายแล้วไปตบหล่อนทำไม

เหตุผลใดให้การมาอย่าโมเม”

ชายเหลือบดูคู่กรณีเห็นทีหยิ่ง

แล้วให้การตามจริงไม่หันเห

ผมเจอหล่อนที่ป้ายจอดรถเมล์

ยืนหน้าเบ้บุญไม่รับอัประมาณ

ขึ้นรถเมล์คันเดียวกันมันงี่เง่า

พอกระเป๋าเขามาเก็บค่าโดยสาร

เธอสำแดงฤทธิ์เดชบอกออกอาการ

สุดทนทานนั่งข้างเธอ ผมเผลอไป

เธอเปิดกระเป๋าใหญ่แล้วหยิบกระเป๋าเล็ก

เปิดกระเป๋าเล็กแล้วปิดกระเป๋าใหญ่

หยิบแบงก์จากกระเป๋าเล็กในทันใด

แล้วเปิดกระเป๋าใหญ่ในทันที

เธอปิดกระเป๋าเล็กแล้วใส่ลงกระเป๋าใหญ่

ส่งเงินให้เด็กกระเป๋าขมันขมี

พลางปิดกระเป๋าใหญ่ไม่รอรี

ครั้นรับตั๋วทันทีเธอฉับไว

เปิดกระเป๋าใหญ่แล้วหยิบกระเป๋าเล็ก

เปิดกระเป๋าเล็กแล้วเปิดกระเป๋าใหญ่

เอาตั๋วใส่กระเป๋าเล็กอย่างเร็วไว

แล้วเธอเปิดกระเป๋าใหญ่ไม่รอช้า

ปิดกระเป๋าเล็กแล้วใส่ลงกระเป๋าใหญ่

แล้วก็ปิดกระเป๋าใหญ่อย่างแน่นหนา

รับตังค์ทอนจากกระเป๋าแล้วกานดา

เปิดกระเป๋าใหญ่เเล้วหยิบหากระเป๋าเล็ก

เปิดกระเป๋าเล็กแล้วปิดกระเป๋าใหญ่

ตังค์ทอนใส่กระเป๋าเล็กแล้วปิดแหง็ก

หยิบกระเป๋าใหญ่แล้วเปิดใส่กระเป๋าเล็ก

ปิดกระเป๋าใหญ่เเล้วปิดเช็คเหมือนเช่นเคย

ครั้นนายตรวจขึ้นมาหาช้าไม่

เธอเปิดกระเป๋าใหญ่หยิบกระเป๋าเล็กหน้าตาเฉย

ปิดกระเป๋าใหญ่ปิดกระเป๋าเล็กไม่ช้าเลย

หยิบตั๋วเผยให้นายตรวจได้ตรวจตรา

แล้วปิดกระเป๋าเล็กก่อนเปิดกระเป๋าใหญ่

ใส่กระเป๋าเล็กลงไปไม่กังขา

แล้วเธอปิดกระเป๋าใหญ่ไม่รอรา

พอรับตั๋วกลับมามิช้าไย

เปิดกระเป๋าใหญ่แล้วหยิบกระเป๋าเล็ก

เปิดกระเป๋าเล็กแล้วปิดกระเป๋าใหญ่

เอาตั๋วใส่กระเป๋าเล็กแล้วปิดไว

เปิดกระเป๋าใหญ่ใบเล็กใส่จนนัวเนีย

ตุลาการนั่งฟังความตามคดี

บอกหยุดทีฟังแล้วน่าเวียนหัว

กระเป๋าเล็กกระเป๋าใหญ่ดูพันพัว

น่าเวียนหัวพัลวันพอกันที

จำเลยชายได้จังหวะจึงฉะฉาน

ข้าแต่ศาลที่เคารพคิดดูถี

ท่านเพียงฟังยังเวียนหัวถึงเพียงนี้

แล้วผมนี่นั่งข้างหล่อนจะทนไย

ตุลาการพินิจผลถึงต้นเหตุ

พิจารณาพิเศษเห็นสมควรจะตบได้

จึงยกฟ้องปลดปล่อยจำเลยไป

กระเป๋าเล็กกระเป๋าใหญ่พอกันที

..............................

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หมากับปลากระป๋อง แง่คิดดีๆ ที่อยากให้อ่านจัง

ได้รับ fwd เมล์จากเพื่อนคนนึงมา อ่านแล้วดีมาก ๆ อยากให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันค่ะ











วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยตนเอง ตอนที่3: รู้ทันความเสี่ยงในการลงทุน

รายงานโดย :กฤษฏา เสกตระกูล: วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความเสี่ยง คือ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบในทางลบหรือในทางที่ไม่พึงประสงค์

ความเสี่ยงในการลงทุน คือ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์สูญเสียเงินจากการลงทุน หลักทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงซึ่งจะมีระดับสูงต่ำต่างกันไป การลงทุนในหลักทรัพย์จึงมีความเสี่ยงว่าอาจจะได้เงินกลับคืนน้อยกว่าเงินที่ลงทุนไป หรืออาจเผชิญกับความเสี่ยงที่จะไม่ได้ผลตอบแทนอย่างที่คาดไว้ นักลงทุนส่วนใหญ่มักไม่มีการประเมินความเสี่ยงเวลาลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งเราควรจะทำ ตัวอย่างเช่น เรากำลังพิจารณาหุ้นสามัญของ 2 บริษัท คือ บริษัท ก และบริษัท ข จากการวิเคราะห์จะพบว่าทั้งสองบริษัทมีโอกาสที่ราคาหุ้นสามัญจะสูงขึ้นเป็น 2 เท่า อย่างน้อยใน 1–2 ปีข้างหน้า แต่หุ้นสามัญของบริษัท ก มีความเสี่ยงเป็น 2 เท่าของหุ้นสามัญของบริษัท ข ถ้าทราบข้อมูลเช่นนี้นักลงทุนสามารถเลือกได้ง่ายขึ้น โดยเลือกบริษัท ข ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่า ในบทความนี้ จะอธิบายถึงองค์ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับความเสี่ยง และการประเมินความเสี่ยง ก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุน

1.  ความเสี่ยงของกลุ่มหลักทรัพย์
หลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนจะมี ความเสี่ยงต่างๆ กัน ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงในด้านการดำเนินงานและความเสี่ยงทางการเงินของแต่ละบริษัท แต่ถ้าเราลงทุนในหลายๆ หลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ กัน ความเสี่ยงโดยรวมจะลดลง หรือเรียกว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง (Risk Diversification) เนื่องจากความเสี่ยงที่สูงของบริษัทหนึ่งจะชดเชยด้วยความเสี่ยงที่ต่ำลงของอีกบริษัทหนึ่ง ตัวอย่างของ บริษัทจดทะเบียนในอุตสาห กรรมการบินกับ บริษัทจดทะเบียนในอุตสาห กรรมน้ำมัน เป็นกรณีที่สามารถนำมาอธิบายได้ ในกรณีที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นในอุตสาหกรรมน้ำมันจะได้รับผลดีทำให้กำไรเพิ่มขึ้น แต่ผลดังกล่าวนี้ส่งผลในทางลบต่อกำไรของธุรกิจสายการบิน เนื่องจากน้ำมันเป็นต้นทุนสำคัญของสายการบินซึ่งจะส่งผลทำให้ราคาหลัก ทรัพย์ของธุรกิจสายการบินลดลงด้วย

ถ้าเราลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งสองอุตสาห กรรมนี้ ผลบวกของธุรกิจหนึ่งจะหักล้างกับ ผลทางลบอีกธุรกิจหนึ่ง ทำให้โดยรวมของ กลุ่มหลักทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงจากราคา หลักทรัพย์ ไม่มากนัก ซึ่งเรียกว่าความผันผวนของราคา หลักทรัพย์ในกลุ่มหลักทรัพย์ไม่เปลี่ยนแปลงมาก หรือเป็นการกระจายความเสี่ยงนั่นเอง

ดังนั้น ในการลงทุนเราจึงควรลงทุนในหลายๆ หลักทรัพย์ที่มีความแตกต่างกัน ปัญหาก็คือควรลงทุนเป็นจำนวนกี่หลักทรัพย์กันแน่ บ้างก็ว่าน่าจะมีจำนวน 12 หลักทรัพย์ บ้างก็ว่าน่าจะอยู่ในขอบเขตประมาณ 40–50 หลักทรัพย์ อย่างไรก็ดี มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า จะเพิ่มหลักทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยงเท่าใดก็ตาม ควรระวังอย่าให้เม็ดเงินการลงทุนไปในอุตสาหกรรมใดเกินกว่า 15% ของเม็ดเงินการลงทุนทั้งหมดของเราในกลุ่มหลักทรัพย์

ไม่ว่าในกลุ่มหลักทรัพย์จะประกอบไปด้วยกี่หลักทรัพย์ก็ตาม ความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเผชิญประกอบไปด้วย

- ความเสี่ยงจากภาวะตลาดและอุตสาห กรรม (Market Risk)
- ความเสี่ยงเฉพาะตัวของหลักทรัพย์นั้น (Individual Risk)

2.  ความเสี่ยงจากภาวะตลาดและอุตสาหกรรม
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่เลือกหลักทรัพย์ได้อย่างเก่งฉกาจเท่าใดก็ตาม คุณก็ยังคงยากที่จะทำกำไรได้ในกรณีตลาดขาลง ในขณะที่ตลาดขาขึ้นแม้จะลองผิดลองถูก โอกาสที่จะได้กำไร ก็ยังคงมี การพยากรณ์ภาวะของตลาดหลัก ทรัพย์ในอนาคตเป็นเรื่องยาก เราต้องทำความเข้าใจหลายเรื่อง เช่น ระบบเศรษฐกิจ ภาวะอัตราดอกเบี้ย แนวโน้มเงินเฟ้อ และตัวแปรทางเศรษฐกิจต่างๆ การทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ซึ่งมีอาชีพที่เกี่ยวกับการพยากรณ์เศรษฐกิจ ก็มีโอกาสสูงที่จะทำนายไม่ถูกต้อง

การเปลี่ยนแปลงขึ้นลงของภาวะตลาดและอุตสาหกรรมนี้เป็นที่มาของความเสี่ยง ที่เรียกว่า Market Risk ในที่นี้จะให้วิธีการ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Market Risk โดยพิจารณาจาก 2 คำถามต่อไปนี้

1) ตลาดตอนนี้อยู่ในภาวะราคาหลักทรัพย์ต่ำไป (Undervalued) หรือราคาหลักทรัพย์ สูงไป (Overvalued) (ซึ่งจะไปเกี่ยวข้องกับการประเมินมูลค่าตลาด หรือ Market Valuation)

2) ตลาดตอนนี้อยู่ในภาวะขาขึ้น (Moving Up) หรือขาลง (Moving Down) (ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางของตลาด หรือ Market Direction)

ภาวะตลาดอาจทำให้ราคาตลาดของหลักทรัพย์สูงขึ้นหรือต่ำลงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของหลักทรัพย์ นักลงทุน จึงควรพิจารณาด้วยว่า มูลค่าที่แท้จริงที่มาจากปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์ควรมีมูลค่าเท่าใด ซึ่งมีวิธีการคำนวณหลายแบบ โดยปกตินักลงทุนสามารถใช้บริการจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ซึ่งมักจะคำนวณมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องคำนวณเองก็ได้ รู้แต่หลักการก็พอ อย่างไรก็ดี การรู้ว่าราคาตลาดของหลักทรัพย์สูงไป (จึงควรขาย) หรือต่ำไป (จึงควรซื้อ) ก็ไม่ควรผลีผลามเข้าไปทำการ ขาย หรือ ซื้อ ทันที ควรศึกษาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณซื้อขายด้วย เพื่อหาจังหวะที่เหมาะสม (Market Timing) ในการเข้าขายหรือซื้อ เพื่อให้ได้ราคาขายที่สูงหรือราคาซื้อ ที่ต่ำ ซึ่งต้องอาศัยความรู้เรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) โดย ปกติบริษัทหลักทรัพย์จะมีบริการให้ความรู้ใน เรื่องนี้แก่นักลงทุนอยู่ตลอดเวลา ผู้เขียนอยากบอกว่า ความรู้ในเรื่องดังกล่าวข้างต้นไม่ได้เป็นหลักประกันว่า เวลาไปซื้อขายแล้วจะได้กำไรเสมอ แต่เป็นการทำให้เกิดความมั่นใจว่า ในการซื้อขายเราได้ตัดสินใจแบบมีเหตุผล มีหลักการซึ่งน่าจะดีกว่าการซื้อขายในแบบมั่วๆ

3.  ความเสี่ยงเฉพาะตัวของหลักทรัพย์
ความเสี่ยงเฉพาะตัวของหลักทรัพย์มี ความสัมพันธ์กับแผนธุรกิจ การประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ ความสามารถในการทำกำไร วิธีปฏิบัติทางการบัญชี กลยุทธ์การเติบโต และปัจจัยสำคัญอื่นๆ ของบริษัทดทะเบียนของหลักทรัพย์นั้น มากกว่าที่จะขึ้นอยู่กับภาวะตลาดโดยรวม ความเสี่ยงบางอย่างจากปัจจัยที่กล่าวถึงข้างต้น บางครั้งอาจรุนแรงจนทำให้เราต้องตัดหลักทรัพย์นั้นออกจากการพิจารณา ก็ได้ ต่อไปนี้จะอธิบายถึงปัจจัยบางประการที่จะมีผลต่อการพิจารณาความเสี่ยงเฉพาะตัวของหลักทรัพย์

          3.1 สุขภาพทางการเงินของบริษัท (Financial Health)
การตรวจสอบฐานะทางการเงินของและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนของหลักทรัพย์เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อจะมั่นใจได้ว่าบริษัทจะยังคงประกอบกิจการ และมีการเติบโตเจริญรุ่งเรืองต่อไปได้หรือไม่ ถ้าบริษัทเกิดล้มละลายขึ้นมา นั่นหมายความว่า เราจะสูญเสียเงินลงทุนในหลักทรัพย์นั้นทั้งหมดด้วย อย่าตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ใดก็ตาม โดยไม่มีการวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทนั้นก่อน

          3.2 แผนธุรกิจ (Business Plan)
บางบริษัทจดทะเบียนมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนในการเข้าไปซื้อหลักทรัพย์ เพราะมีแผนธุรกิจที่ดี เพราะสะท้อนให้เห็นว่าสามารถนำสินค้าและบริการเข้าไปสู่ตลาดและครองใจผู้บริโภคได้อย่างไร โดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ อีกนัยหนึ่งก็สะท้อนถึงความสามารถของผู้บริหารในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ธุรกิจบางประเภทแม้จะมีการแข่งขัน ที่รุนแรงแต่การกำหนดกลยุทธ์ที่ดีเหมาะสม (ซึ่งพิจารณาได้ส่วนหนึ่งจากแผนธุรกิจ) ก็อาจนำพาให้บริษัทไปรอดและเติบโตได้

จุดสำคัญประการหนึ่งที่ต้องพิจารณาในแผนธุรกิจก็คือ กลยุทธ์การเติบโตของกิจการ (Growth Strategy) บริษัทส่วนใหญ่จะเติบโตโดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาด้วยว่าบริษัทมีกลยุทธ์ในการรักษาตลาดของผลิตภัณฑ์เดิมซึ่งอาจอยู่ในภาวะอิ่มตัวแล้วได้อย่างไร บ่อยครั้งที่ความสำเร็จในยุคแรกๆ ทำให้บริษัทมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงเกินไปและใช้กลยุทธ์เดิมๆ ซึ่ง อาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางลบต่อการดำเนินงานและฐานะทางการเงินจนเป็นเป้าหมายที่จะถูกครอบงำหรือถูกซื้อกิจการ เราสามารถสังเกตได้ว่าผลกระทบทางลบนี้ ส่งผลทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ตกต่ำลงได้ และอาจอยู่ในความสนใจของนักครอบงำกิจการ ในตอนที่ 8 เราจะอธิบายเพิ่มขึ้นถึงเทคนิคในการประเมินแผนธุรกิจของกิจการ รวมทั้งกลยุทธ์สร้างการเติบโตโดยการเข้าไปซื้อกิจการอื่น

          3.3 การประเมินมูลค่า (Valuation)
บางครั้งบริษัทที่ดีมีอนาคต ก็ถูกประเมินราคาอย่างไม่เหมาะสม ทำให้มีราคาสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป มูลค่าหรือราคาที่แท้จริงควรสะท้อนการเจริญเติบโตในระยะยาวของกิจการ

          3.4 การทำบัญชีอย่างสร้างสรรค์ (Creation Accounting)
ความน่าเชื่อถืออีกประการหนึ่งของบริษัทจดทะเบียน ก็คือ การทำบัญชีอย่างถูกต้อง โปร่งใส ไม่บิดเบือน เนื่องจากมีบางบริษัท จดทะเบียน เมื่อวางแผนในแต่ละปีแล้ว ถ้าไม่ได้ผลลัพธ์ตามแผนก็อาจใช้กลวิธีทางบัญชี (ที่ไม่ถูกต้อง) ในการปรับตัวเลขรายการทางบัญชีบางประการ เช่น การรับรู้รายได้ ค่าใช้จ่าย เพื่อให้ตัวเลขรายได้ กำไร เป็นไปตามที่ต้องการ

ที่มา : http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=75529

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องจริงที่ต้องอ่านอย่างแรง... ซึ้งมาก

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี


วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน

พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า "ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ" พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้....แล้วพูดว่า

" ผมขโมยเองครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน

" ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า

" พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี...

เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า

" ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า " แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า " ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"

พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่ " ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน....เพื่อขอยืมเงิน ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า " ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ ใครจะรู้ได้ .......

วันต่อมาในตอนเช้ามืด น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ

" พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ .... ผมจะไปหางานทำ...แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ....... ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี .....

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็น กรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้างท่าเรือ ....... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า " มีชาวบ้านมาหาเธอ...อยู่ข้างนอกแน่ะ" ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ...

ฉันถามเขาว่า " ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า " ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้...ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ " พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า " ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี ....

วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า

" แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า " แม่ไม่ได้จ้างหรอก...น้องชายลูกต่างหาก วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด

" เจ็บมากไหม" ฉันถาม

" ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ และ..." น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

" เพราะพี่เป็นพี่สาวของผมนี่ครับ"

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี...

หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน... แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...

เขาบอกกับฉันว่า " พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"

สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของ ครอบครัว เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ... แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

" ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!! ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆอย่างนี้ ดูตัวเองซิ...เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา " พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน ส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"

น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ..... ฉันบอกกับน้องว่า " แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."

" ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ" น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26 ปี ส่วนฉันอายุ 29 ปี...

เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30 ปี เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงในที่ทำงานที่เดียวกัน ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า " ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"

น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล " พี่สาวของผมครับ" .....

และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้ " ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2 ชม. เพื่อเดินไปเรียน...และเดินกลับบ้าน วันหนึ่งในวันที่หิมะตกหนักผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ....... นับจากวันนั้น ผมสาบานกับตัวเอง ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี และจะทำดีกับเธอ"

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก .......

" ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"

ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้ น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง... จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ วันในชีวิตของคุณและเขา คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง .. ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

จบบริบูรณ์....


ปล.

ปัจจุบันผู้เป็นพี่สาวอายุ 86 ปีตำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารใหญ่บริษัทฮุนไดและในเครือกว่า 20 บริษัท

น้องชายอายุ 83 ปีเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่มีชื่อเป็นภาษาเกาหลีว่า "ซัมซุง"

และเรื่องราวของท่านทั้ง 2 คนกำลังถูกนำมาสร้างเป็นซี่รี่ย์ โดยดาราเล็กๆ คนคือ ซอง เฮ เคียว และ ลี ดอง ฮุคครับ

บู มิง ฮอง
เล่าเรื่อง

นิทานแมลงปอ

มีเมืองเล็ก ๆ ที่สวยและสงบสุขเมืองหนึ่ง

มีคู่รักคู่หนึ่งที่รักกันมาก ทุกวันพวกเขาจะพากันไปดู
พระอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาด
และไปส่งพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ชายหาดตอนโพล้เพล้
ทุกคนที่เคยพบเจอพวกเขา
จะมองด้วยสายตาอิจฉาในความรักของคนคู่นี้เสมอ

แต่แล้ววันหนึ่ง..
เกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้น
หญิงสาวผู้โชคร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส เธอนอนเงียบ ๆ
อยู่บนเตียงของโรงพยาบาล
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เธอก็ยังคงไม่ฟื้นคืนมา ตอนกลางวัน
ชายหนุ่มจะมาเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียง ร้องเรียกคนรักของเขาเสมอ
ทั้งๆ ที่เธอไม่ตอบสนองใด ๆ เลย ตกกลางคืน
ชายหนุ่มจะไปสวดภาวนาออนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าที่โบสถ์นอกเมือง
เขาร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง ไม่มีจะไหลออกมาอีกแล้ว ผ่านไป 1 เดือน
หญิงสาวยังคงหลับใหลไม่ฟื้นเหมือนเดิม
ส่วนชายหนุ่มก็ดูจะซูบเซียวขึ้นทุกวัน
แต่ก็ยังคงสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอไม่หยุด

แต่แล้ววันหนึ่ง
พระผู้เจ้าก็เกิดเห็นใจในรักของชายหนุ่มและตกลงที่[ประทาน]พรให้แก่เขา
พระผู้เป็นเจ้าได้ถามชาย หนุ่มว่า
“เจ้ายอมที่จะแลกพรนี้ด้วยชีวิตของเจ้าไหม” ชายหนุ่มตอบโดยไม่ลังเลว่า
“ ผมยอมครับ” พระผู้เป็นเจ้าพูดว่า
“งั้นดีฉันจะให้คนรักของเจ้าฟื้นขึ้นมา
แต่เจ้าต้องแลกกับการกลายเป็นแมลง ปอเป็นเวลา 3 ปี เจ้าจะตกลงยอมไหม”
ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้น แต่ก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิม “ผมยอมครับ”
ฟ้าสางแล้ว ชายหนุ่มได้กลายเป็นแมลงปอสวยงามตัวหนึ่ง
เขาบอกลาพระผู้เป็นเจ้าแล้วรีบบินกลับไปที่โรงพยาบาลหญิงสาวฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ
มีนายแพทย์หนุ่มยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ คุยเรื่องอะไรกันสักอย่างหนึ่ง
แต่ช่างเสียดายที่เขาไม่สามารถที่จะได้ยิน. หลายวันผ่านไป
หญิงสาวแข็งแรงพอที่จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่เธอดูไม่มีความสุขเลย
เธอออกตะเวณหาข่าวคราวของชายหนุ่ม
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าชายหนุ่มหายไปอยู่ที่ไหน หญิงสาวยังไม่ละ
ความพยายามที่จะตามหาชายคนรักของเธอ
ชายหนุ่มซึ่งอยู่ในร่างของเจ้าแมลงปอ
ได้แต่บินวนเวียนอยู่รอบตัวหญิงสาวไม่ห่าง
ทว่าเขาไม่สามารถที่ส่งเสียงไม่สามารถโอบกอดเธอ
เขาทำได้แค่เพียงเฝ้ามองดูหญิงสาวไม่ให้คาดสายตาเท่านั้น
ฤดูร้อนผ่านไปแล้ว ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใบไม้ปลิวร่วงหล่นจากต้นไม้ใหญ่
เจ้าแมลงปอจำต้องจากที่นี่ไปแล้ว
นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้บินมาเกาะที่บ่าของหญิงสาว
เขาอยากใช้ปีกของเขาลูบใบหน้าของหญิงสาว
อยากใช้ปากเล็ก ๆ จูบที่หน้าผาก
แต่อย่างไรก็ดีร่างเล็กบอบบางในคราบของแมลงปอก็ไม่สามารถเรียกร้องความ
สนใจจากหญิงสาวได้
แค่พริบตา ฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือน เจ้าแมลงปอรีบบินกลับมาหาคนรักของเขา
เพื่อจะพบว่าร่างอันคุ้นตานั้นบัดนี้ได้ยืนเคียงคู่ อยู่กับชายรูปร่างสันทัด
คนหนึ่ง ภาพ ๆ นั้นทำให้เจ้าแมลงปอเกือบจะบินตกลงมาจากอากาศเลยทีเดียว
ชาวบ้านต่างกล่าวขานถึงเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้หญิงสาวได้รับบาดเจ็บ
สาหัสทำให้ได้พบกับแพทย์หนุ่มที่น่ารัก และ ใจดี คนนั้น
และยังกล่าวถึงความรักของคนทั้งคู่ที่เหมือนถูกกำหนดมาอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนพวกเขายังคงพูดถึงหญิงสาวที่สดใสร่าเริงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากมายนัก
เจ้าแมลงปอรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก หลังจากนั้นไม่กี่วัน
แมลงปอเห็นแพทย์หนุ่มผู้นั้นพาคนรักของตนไปชายทะเลเพื่อดูพระอาทิยต์ขึ้น
พลบค่ำก็อยู่ที่ชายหาดเพื่อดูพระอาทิตย์ตก แต่สำหรับเขาแล้ว
นอกจากบินมาเกาะที่บ่าของหญิงสาวแล้ว เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย

หน้าร้อนของปีนี้ช่างยาวนานนัก เจ้าแมลงปอบินต่ำลง ๆ
ทุกวันด้วยความรู้สีกที่เจ็บปวด
เขาไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะบินเข้าใกล้ หญิงอันเป็นที่รัก
ท่าทางการพูดคุยกันอย่างสนิทสนมของคนทั้งคู่
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของทั้งคู่
ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนัก ย่างเข้าฤดูร้อนของปีที่ 3
เจ้าแมลงปอไม่ค่อยไปเฝ้าดูคนรักของเขาแล้ว
บ่าของเธอบัดนี้ถูกโอบกอดด้วยมือของแพทย์หนุ่ม
ใบหน้าถูกประทับจูบอย่างเบา ๆ จากเขาผู้นั้น
ดูท่าทางแล้วไม่มีทางเลยที่หญิงสาวจะมีเวลาที่จะไปคิดถึงแมลงปอที่เจ็บปวดตัวหนึ่ง
ยิ่งไม่มีทางที่จะไปคิดถึงอดีตสิ่งที่ผ่านไป วันครบรอบปีที่ 3
ที่พระผู้เป็นกำหนดไว้ใกล้มาถึงแล้วคนรักของเจ้าแมลงปอกับนายแพทย์หนุ่ม
ได้จัดพิธีแต่งงานขึ้นในวันสุดท้ายนั้นเอง เจ้าแมลงปอค่อย ๆ บินเข้าไปในโบสถ์
และไปเกาะที่บ่าของพระผู้เป็นเจ้าเขาได้ยินเสียงของคนรัก
ที่ดังมาจากข้างล่างตอบรับคำสาบานของพระผู้เป็นเจ้าว่า “ฉันยอมรับ”
เขาเห็นแพทย์หนุ่มคนนั้นสวมแหวนให้คนรักของเขา
ตามด้วยจุมพิตที่แสนหวานของคนทั้งคู่.
เจ้าแมลงปอปล่อยให้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมา
พระผู้เป็นเจ้าถามแมลงปอว่า “เจ้ารู้สึกเสียใจไหม”
เจ้าแมลงปอเช็ดน้ำตาแล้วตอบว่า “เปล่า”
พระผู้เป็นเจ้าถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า
“งั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ได้กลับเป็นเจ้าคนเดิมแล้ว”
เจ้าแมลงปอส่ายหน้าอย่างช้า ๆ ก่อนตอบว่า “
ขอผมเป็นแมลงปออย่างนี้ไปตลอดชีวิตเถอะครับ”

บางบุพเพ ชะตาถูกกำหนดมาเพื่อที่ต้องสูญเสียไป

บางบุพเพ ตอนจบไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด

รักคน ๆ หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องได้รับรักตอบ

แต่เมื่อได้รับรักจากใครคนหนึ่งเราต้องดูแลรักษามันไว้อย่างดี


บนบ่าของคุณมีแมลงปอไหม


ที่มา : เว็บบอร์ด มอ.

อย่าเสียดายในสิ่งที่เสียไป

เล่าถึงเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง
หล่อนอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กนี้มานานตั้งแต่เด็ก
หน้าบ้านของหล่อนมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาจนทำให้บริเวณนั้นดูร่มรื่นเป็นพิเศษ
และแล้ววันหนึ่งเมื่อต้นไม้นั้นพ่ายแพ้แก่กาลเวลา
กิ่งก้านที่เคยร่มเย็นกลับก่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้น
เมื่อมันหักและหล่นใส่บ้านข้างเคียงบ่อยๆ จนกระทั่งเป็นปัญหา
ถึงขั้นที่จะต้องโค่นล้มต้นไม้ใหญ่นั้นทิ้ง
หลังจากหญิงสาวทราบว่าไม่สามารถจะคงต้นไม้นี้ไว้ได้หล่อนถึงกับกังวลถึงสิ่งที่จะ
เกิดขึ้นตามมา
ต่อไปนี้จะเอาร่มเงาจากไม้ใหญ่ที่ไหนคอยกำบังแดดฝน
ไม่มีภาพที่เคยมีอีกแล้วยามมองออกไปนอกหน้าต่าง
ยิ่งคิดไปต่างๆ นานาก็ยิ่งให้รู้สึกเสียดายไม้ใหญ่นั้น
ยิ่งวันที่ต้องตัดต้นไม้นั้น
หล่อนได้ยินคำพูดจากเพื่อนของเธอที่ต้องการปลอบใจว่า

"อย่าเสียดายกับสิ่งที่เสียไป จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะตามมา"

แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีคำพูดใดๆ เจาะไชเข้าไปถึงตัวเธอๆ ได้

วันเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์
ชีวิตของเธอหลังต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นเริ่มเปลี่ยนแปลง
ทุกเช้าที่เธอตื่นเธอจะได้รับแสงแดดส่องเข้ามาในบริเวณห้องของเธอ
จนทำให้วันนั้นเกิดรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที เธอได้บริเวณบ้านมากขึ้น
สำหรับปลูกไม้ดอกที่อยากจะปลูกมานาน
เธอกลับเริ่มรู้สึกดีๆ กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
มันไม่ได้แย่ไปอย่างที่เธอคาดไว้เสียทีเดียว
ถ้าต้นไม้ใหญ่นั้นไม่ถูกโค่นลง วันนี้เธอคงไม่ได้เห็นภาพเด็กๆ
วิ่งขึ้นลงรถรับส่งโรงเรียนอย่างร่าเริงในอีกมุม

ตอนนี้เธอเข้าใจกับคำว่า "อย่าเสียดายในสิ่งที่เสียไป
แต่จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"

พออ่านจบแล้วรู้สึกว่ามันเป็นความจริง ที่ส่วนมากแล้ว
เรามักจะกลัวการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ทุกอย่างมันอยู่ที่ความคิดจริงๆ นะ คนเรามักกลัวที่จะเข้าไปในห้องมืด
ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในห้องนั้นมีอะไรบ้าง
แต่ไอ้ที่กลัวๆ อยู่น่ะมันอยู่ในความคิดทั้งนั้น
อย่างบางคนก็กลัวที่จะสูญเสียคนรักไป
ทั้งๆ ก็ไม่ได้มองหรอกนะว่าไอ้ที่กอดๆ อยู่น่ะ มันเหมาะมันดีกับเราแล้วจริงหรือ
กลัวว่าต่อไปถ้าขาดเขาหรือเธอไปชีวิตจะเป็นยังไง เดินห้างคนเดียว
ไปไหนมาไหนคนเดียว กลัวเจอคนที่แย่กว่าเดิม
อะไรก็ตามที่คุณกลัวและคิดไปเรื่อย จนทำให้คุณกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง
จนบางทียอมที่จะทนกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ลงไปยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลง
คุณลองมองในอีกมุมที่หญิงสาวคนในเรื่องไม่ได้มองดูสิ
มุมมองที่เป็นบวกกับชีวิตคุณ
มุมมองที่จะทำให้คุณก้าวต่อไปได้ด้วยความตื่นเต้นและยินดี

"อย่าเสียดายในสิ่งที่เสียไป
แต่จงตื่นเต้นและยินดีกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น"







คุณอ่านได้มั๊ยล่ะ

ณุอาน่ได้มยั้

ถ้าคณุอาน่บทคาวมนี้ได้

คณุมีความคดิที่แขง็แรงพอสวคมรเลยนะ
คณุอาน่ได้หรอืเลป่าล่ะ
มีแค่ 55 คนจาก 100 เท่านนั้แล่หะที่อาน่ได้


ฉนัไม่อายกจะเชอื่เลยว่า
ฉนัเข้าใจสงิ่ที่ฉนักำลงัอาน่อู่ยนี้
มนัเปน็ปฎกราากรณ์ของคาวมคดิของม์ษุยน
ผลการศกึาษวจิยัจาก มวหายิทัาลย แบมคิร์จด ก่าลวว่า
มนัไม่สคำญเลยว่าตวัอรัษกเยีรงถตอ้กูงหรอืไม่ในคำคำหนงึ่
มนัสคำญแค่ว่า ตวัอษักรแรกและตวัอษกัรตวัสดุทาย้ของคำ
นนั้อู่ยในตนำแห่งที่ถกูตอ้ง ที่เลืหอนนั้มนัจะมวั่ซวั่อ่ายงไร
คณุก็อาน่มนัได้อู่ยดี ไม่มีปหญัา

ที่เปน็อาย่งนี้เราพะคาวมคดิของมษุน์ยนนั้
ไม่ได้อาน่ตวัอษกัรทกุตวัซกัหอน่ย
แต่อาน่เปน็คำเตม็ ๆ คำ

สดุยอดเลยใช่มยั้ล่ะ...ใช่เลย
แต่ยงัไงฉนัก็คดิว่าการสกะดมนัสคำญันะ
ถ้าคณุอาน่บควาบมนี้ได้ ชว่ยสง่ตอ่หอน่ยนะ


ฉะนั้น ความสับสันวุ่นวายไม่ได้เป็นเหตุทำให้เราไปต่อไม่ได้ และเราไม่ควรจะวิตกจริตกับสิ่ง
ต่างๆที่ประดังประดาถ่าโถมเข้ามาในชีวิตจน เกินเหตุ
จงเผชิญกับมันเถิด แล้วคุณจะรู้ว่า
คุณสามารถอ่านปัญหาที่ดูงงงวยได้ไม่ยาก และสามารถเผชิญหน้ามันต่อไปได้ และไปจนถึง
ความสำเร็จ

ใช่.....คุณยังไหว.....และคุณอ่านมันได้

บูมงิฮอง



วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ค น พิ เ ศ ษ


ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้ ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้น แต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึก “ไม่ธรรมดา” ที่จะนึกถึงเรียกว่าเป็น “ความพิเศษ” ที่เราจะยกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจ ก็ในเมื่อคำว่า “พิเศษ” หมายถึงความจำเพาะ ความแปลกแยก ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ
กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับที่ใจคิด

ให้ “ความรู้สึกดีดี” จากจิตใจที่ดีดี

ให้ “ความอาทรถึง” จากจิตใจที่นึกถึง

ให้ “ความห่วง” จากจิตใจที่เป็นห่วง

ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีดี แต่มี “สติ”

ให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่ “คุกรุ่น”

ให้ไปเลย ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้

แต่เมื่อให้ไปแล้วต้อง “ไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม” และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้าง ก็จงหยุดพักตรึกตรอง อย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด “สิ่งดีดี” จนกระจัดกระจาย เพราะ “การให้ความหมาย” ไม่ใช่ “การตั้งความหวัง” คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกัน แต่คนสองคน “จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน”

เพราะการตั้งความหวังมักนำมาซึ่ง “การเรียกร้อง” “ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ” โดยที่ไม่รู้ตัว มันร้อนนัก หนาวนัก และไม่เป็นสุข เราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆ หากเริ่มรู้สึกตัวว่า ความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อยๆเดินออกมาสูดอากาศเย็น หากตรงกันข้ามเราก็ต้องหลบเร้นจากความหนาวมาอาบไอแดดเช่นกัน และอย่าลืมว่า “ความพิเศษ” ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นพิเศษมากหรือพิเศษสุด หรือพิเศษอย่างยิ่งในคนคนเดียว ทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ พิเศษในเรื่องนั้น พิเศษในเรื่องนี้ ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้ที่ เราจะไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมา

จงให้ “ความพิเศษ” เป็นชีวิตชีวา เป็นแววตาที่แจ่มใส เป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้ ไม่วิ่งหนี แต่ไม่วิ่งตาม ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่ ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหว แต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทร จงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื่น สดใส เช่นสายน้ำ เป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้ ที่เย็นที่ตาและที่ใจ และที่ตรงนี้ จะอีกนานเท่าใด ไม่ว่า “คนพิเศษ” คนนั้นจะอยู่ใกล้ หรือต้องจากกันไกล “ความพิเศษ” นั้นก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ ที่เดิม ที่ซึ่งใจข้างซ้ายตรงกัน


อย่าสัญญากับใครถ้าคุณทำไม่ได้




เด็กสาวตาบอดคนหนึ่ง เกลียดตัวเองที่มองอะไรไม่เห็นเธอเกลียดทุกคนยกเว้นแฟนหนุ่มของเธอ

วันหนึ่งเธอบอกกับเขาว่า ถ้าเธอมองเห็น เธอจะแต่งงานกับเขา
แล้ววันหนึ่ง โชคก็เดินทางมาถึง มีคนบริจาคดวงตาให้เธอ
เธอจึงมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งแฟนของเธอ

เขาจึงถามเธอว่า "ตอนนี้เธอมองเห็นแล้ว เธอจะแต่งงานกับฉันไหม"
เด็กสาวตกใจมากที่เห็นว่า เขาตาบอด!

เธอตอบเขาว่า "ขอโทษนะ ฉันแต่งงานกับเธอไม่ได้หรอก เพราะเธอมันตาบอด"
แฟนของเธอเดินจากไปพร้อมน้ำตา เขาบอกกับเธอว่า

"งั้น...ช่วยดูแลดวงตาของฉันให้ดีก็แล้วกันนะ"


เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าต้องรักตัวเองมากๆ..........เข้าใจไหม

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เปลือกนอก

สุภาพสตรีในชุดกระโปรงผ้าฝ้ายเรียบๆ กับสามีของเธอในชุดสูทเนื้อผ้าธรรมดาๆ

ก้าวลงจากรถไฟในชานชาลาสถานีเมืองบอสตัน
ทั้งคู่ยืนรออย่างสงบอยู่หน้าสำนักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
เลขานุการสาวดูออกในแว่บเดียวว่าสามีภรรยาซอมซ่อคู่นี้มาจากบ้านนอก
และไม่น่าจะมีธุระอะไรในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแห่งนี้

หล่อนขมวดคิ้ว

"เราต้องการพบท่านอธิการบดี" สามีกล่าวนุ่มนวล

"ท่านติดนัดตลอดทั้งวัน" เลขาฯ สะบัดเสียงเล็กน้อย

"งั้นเราจะรอ" ภรรยาตอบ

เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เลขานุการทำเป็นไม่สนใจ
โดยประมาณว่าทั้งคู่คงทนไม่ได้ และกลับไปเอง

...แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...

เลขาฯ สาวเริ่มไม่แน่ใจจึงเข้าไปเรียนท่านอธิการบดี

"พวกเขาคงแค่อยากพบท่านครู่เดียว แล้วก็จะกลับ" หล่อนอธิบาย
ท่านอธิการบดีถอนใจด้วยความเบื่อหน่ายแล้วก็พยักหน้าแบบเสียไม่ได้
ความจริงแล้วคนสำคัญระดับท่านอธิการบดีจะมีเวลาพบคนระดับนี้ได้อย่างไร?

... แต่ก็เถอะนะ ท่านคิด ...

ดีกว่าปล่อยให้คู่สามีภรรยาบ้านนอกป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ให้ใครต่อใครมาเห็น
ท่านเชิดหน้าอย่างทรงเกียรติใส่ทั้งคู่

ภรรยากล่าวขึ้น *"ลูกชายของเราเคยเรียนในฮาร์วาร์ด 1 ปี เขารักฮาร์วาร์ดมาก
และเขาก็มีความสุขที่นี่อย่างยิ่ง แต่เมื่อปีที่แล้ว เขาได้ประสบอุบัติเหตุ และเสียชีวิต
สามี กับดิฉันจึงอยากทำอะไรสักอย่างไว้เป็นที่ระลึกถึงเขาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

ท่านอธิการไม่รู้สึกร่วมกับคำพูดเหล่านั้นแต่อย่างใด

"คุณผู้หญิง เราไม่สามารถสร้างรูปปั้นให้กับทุกคนที่เคยเรียนฮาร์วาร์ดแล้วตายไปหรอกนะ
ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ที่นี่คงดูไม่ต่างไปจากสุสานแน่"

"โอ...ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ท่านอธิการบดี" ภรรยารีบอธิบาย
เราไม่ได้ต้องการจะสร้างรูปปั้น แต่เราคิดว่าเราจะสร้างตึกให้ฮาร์วาร์ดต่างหาก"

ท่านอธิการกรอกตาไปมา เขามองไปที่ชุดผ้าฝ้าย กับสูทบ้านนอก

"สร้างตึก! พวกคุณรู้ไหมว่าต้องใช้เงินเท่าไรในการสร้างตึกสักหลังหนึ่ง

คุณรู้ไหม?...เราใช้เงินไปมากกว่า 7.5 ล้านดอลลาร์ในตอนเริ่มก่อตั้งฮาร์วาร์ดนี่"

ภรรยาเงียบ ไปครู่ใหญ่

ท่านอธิการบดีรู้สึกโล่งอก ในที่สุดสามีภรรยาคู่นี้ก็จะต้องถูกกำจัดให้ไปเสียที

แล้วภรรยาก็หันมาพูดกับสามีเบาๆว่า

"ในการสร้างมหาวิทยาลัย ใช้เงินแค่นี้เองน่ะหรือ?

แล้วทำไมเราไม่สร้างมหาวิทยาลัยของเราเองสักแห่งหนึ่งล่ะ?"

สามีผงกศีรษะ

สีหน้าท่านอธิการเต็มไปด้วยความงงงวยสุดขีด!

จากนั้น...นาย และนาง ลีแลนด์ สแตนฟอร์ด ก็เดินทางไปยัง พาโลอัลโต
ในแคลิฟอร์เนีย ที่ๆ ต่อมา...พวกเขาได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยภายใต้นามสกุลของครอบครัว
เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ลูกชายที่ฮาร์วาร์ดไม่เคยเห็นคุณ นี่คือ...ประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัย Stanford *ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังคู่แข่งของมหาวิทยาลัย Harvard *

จะเห็นได้ว่า...มันสะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของคนที่ชอบตัดสินคนอื่นเพียงแค่ **เปลือกนอก**
 
http://www.truck.in.th/forum/index.php?topic=1135.0 
 

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ขอไข่ผมคืนเถอะครับ

ชายคนหนึ่งเลี้ยงไก่ไว้ตัวหนึ่งเพื่อเก็บไข่กินทุกเช้า วันหนึ่งเขาออกไปที่สวนหน้าบ้าน
เพื่อเก็บไข่อย่างเคย แต่พบว่าแม่ไก่ของเขาไปออกไข่ไว้ในสวนข้างบ้าน
เขาจึงเดินไปที่สวนข้างบ้านเพื่อเก็บไข่ เมื่อไปถึงเขาพบเจ้าของบ้านกำลังถือไข่อยู่

'ขอไข่ผมคืนเถอะครับ ไก่ผมมันมาไข่ทิ้งไว้ที่นี่'

'ไข่อยู่ในสวนผมก็ต้องเป็นของผม' ชายข้างบ้านตู่

พวกเขาเถียงกันอยู่สักพัก แต่ก็หาข้อยุติไม่ได้ ชายเจ้าของไก่จึงเสนอทางออก

'คนบ้านผม เวลาตัดสินกันไม่ได้ เขาจะใช้วิธีหนึ่งตัดสิน ผมจะเตะผ่าหมากคุณ แล้ว

จับเวลาดูว่าคุณจะใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะลุกขึ้นมาได้ แล้วคุณก็เตะผ่าหมากผม

บ้าง แล้วจับเวลาเหมือนกัน ใครใช้เวลาน้อยกว่าก็ชนะได้ไข่ไป'

ชายข้างบ้านตกลง ชายเจ้าของไก่จึงกลับไปที่บ้านหารองเท้าบู๊ทคู่ที่ใหญ่และหนัก

ที่สุด จากนั้นเดินลากเท้ามาหาชายข้างบ้าน แล้วเตะผ่าหมากเข้าไปสุดแรงเกิด

ชายข้างบ้านทรุดลงไปกองกับพื้น ครึ่งชั่วโมงต่อมาเขาจึงลุกขึ้นมาได้

'เอาล่ะ ตาผมเตะคุณบ้าง' ชายข้างบ้านกล่าว

ชายเจ้าของไก่ถอยฉาก

'โอเค ผมยอมแพ้ คุณเอาไข่ไปเหอะ'
(ได้เตะแลกไข่ฟองเดียวสะใจกว่า555)

น่ารักดี


คุณคงดีใจหากว่าเช้าวันหนึ่งจะมีดอกกุหลาบสักดอกมาวางอยู่บนโต๊ะทำงาน

นั่นแสดงว่ามีคนตาถึงมองเห็นเสน่ห์และความน่ารักในตัวคุณ แต่ฉันนี่สิ
พวงมาลัยสีขาวบริสุทธิ์ที่ส่งกลิ่นหอมของดอกมะลิที่วางอยู่บนโต๊ะฉัน
ทำเอาฉันเป็นตัวตลกของเพื่อนร่วมงานไปโดยปริยาย

คนที่เอาพวงมาลัยมาวางให้ฉันทุกเช้าเป็นวิศวกรในแผนกวางแผน ฉันไม่
รู้จักเขามากนัก แต่เพื่อนๆในแผนกฉันพูดถึงเขาว่าเป็นคนไม่ค่อยเต็ม ออก
จะขวางโลกนิดๆ ฐานะทางบ้านจัดว่าดีทีเดียว แต่ตัวเองงกชะมัด เดิมเขาขับ
สปอร์ตคันหรูมาทำงาน ทำเอาสาวๆในบริษัทเก็บเอาไปฝันอยากเป็นตุ๊กตา
หน้ารถของเขากันหลายคน แต่อยู่ดีๆเขากลับนั่งรถเมล์มาทำงานเสียเฉยๆ
ทำให้สาวๆเหล่านั้นค่อยถอนตัวไปทีละคนสองคนจนไม่เหลือใคร

ถึงฉันจะเป็นพนักงานบัญชีและเห็นด้วยกับมาตรการประหยัดของเขาแต่
แค่ดอกกุหลาบสักดอกคงไม่ได้แพงไปกว่าพวงมาลัยสักเท่าไรละมัง

วันนี้ฉันมาทำงานเช้ากว่าปกติซึ่งทางหัวหน้าของฉันขอร้องมาสำหรับเช้า
วันจันทร์ เพื่อมารับรายงานจากฝ่ายต่างๆและเตรียมรายงานให้เสร็จก่อน
เก้าโมง เช้า ทำเอาฉันต้องรองท้องด้วยกาแฟเพียงแก้วเดียวสำหรับมื้อเช้า
มื้อที่สำคัญที่สุดของวัน แต่ก็ทำให้ฉันได้มีโอกาสเจอวิศวกรคนนั้น คนที่
เอาพวงมาลัยมาวางที่โต๊ะฉันทุกเช้า

เสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีขาวที่ถูกม้วนขึ้นไปจนเกือบถึงข้อศอกทำให้เขาดูทะมัด
ทะแมงขึ้น นั่งคงเพราะต้องโหนรถเมล์มาละมัง เขาทำท่าลังเลอยู่หน่อย
เมื่อพบว่าฉันมาทำงานแต่เช้า ก่อนจะเดินเข้ามาและวางพวงมาลัยบนโต๊ะ
ฉันอย่างเงียบๆ

'ขอบคุณค่ะ หอมจัง' ฉันบอกเขาไป

'คุณชอบมันจริงๆเหรอ' เขาถามกลับ

ฉันยิ้มให้ เขาควรจะไปตีความเอาเอง ว่าผู้หญิงหน้าตาน่ารักอย่างฉันเหมาะ
กับพวงมาลัยไหม

'ดีใจที่คุณชอบ'

อ้าว ... นี่เขาเป็นวิศวกรจริงๆหรือเปล่านะ ไม่ฉลาดเอาเสียเลย

'ทำไมวันนี้มาแต่เช้าล่ะครับ' เขาชวนคุย

'พอดี พี่วรรณขอให้มาก่อนเวลาในทุกวันจันทร์น่ะค่ะ' ฉันตอบ

'ถ้างั้นคุณคงไม่มีเวลาทานข้าวเช้า'

ฉันยกแก้วกาแฟให้เขาดูแทนคำตอบ เขาทำสีหน้าครุ่นคิด นี่คงไม่ได้
กำลังคิดหรอกนะว่าฉันจะได้พลังงานจากกาแฟแก้วนี้กี่แคลอรี่ และเพียง
พอกับการทำงานของฉันในช่วงเช้าหรือเปล่า

'แล้วทำไมมาเช้าจังล่ะคะ' ฉันถามเขา

'ผมต้องต่อรถเมล์ มาน่ะครับ ถ้ามาสายรถจะติด'

'แล้วรถคันเดิมไปไหนแล้วคะ'

'ผมจอดไว้ที่หอพักเพื่อนแล้วขึ้นรถเมล์มาครับ สะดวกกว่า และได้ทำธุระ
ด้วย' เขาบอก

ธุระอะไรของเขานะ ที่ต้องทำแต่เช้าเชียว หรือจะใส่บาตร แต่ฉันก็ไม่ได้
ถามเขาไปหรอก

'หอพักเพื่อนคุณ อยู่ใกล้เหรอคะ' ฉันถามเขาเพราะอยากหาที่พักใกล้ที่ทำ
งานมากขึ้น สนองนโยบายรัฐ

'ต่อรถเมล์มานี่ก็สองต่อเองครับใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที'

'พอมีเบอร์ติดต่อไหมคะ'

'ผมพาไปได้ ถ้าคุณสนใจ' เขาบอก

'ค่ะ' ฉันตอบ ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับไปทำงาน

...............................................................................

จากนั้นในทุกวันจันทร์ บนโต๊ะของฉันนอกจากจะมีพวงมาลัยดอกมะลิแล้ว
ยังมีข้าวต้มมัดเพิ่มมาด้วยอีกหนึ่งอย่าง ข้าวต้มมัดกับกาแฟ ดูท่าเขาจะเป็นคน
ขวางโลกจริงๆเสียแล้วสิ

เพื่อนสาวในแผนกฉันหลายคนได้รับดอกกุหลาบ บางคนมีขนมปัง โดนัท
หรือมิฉะนั้นก็เป็นปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้ จากหนุ่มๆที่ตา ถึงและพากันมาเกาะ
แกะกับสาวๆแผนกบัญชี บอกตรงๆว่าฉันก็อายอยู่ไม่น้อยกับรสนิยมของเขา
แต่เพราะ บุคลิกที่เงียบขรึม ท่าทางจริงจัง และรอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้นทำให้
ฉันปฏิเสธเขาไม่ลง ไม่รู้ว่าเพราะฉันกลัวเขาจะเสียน้ำใจ หรือเพราะชอบเขา
ขึ้นมาแล้วกันแน่

'ช่วยเขียนแผนที่กับเบอร์ติดต่อหอพักที่ว่าให้หน่อยได้ไหมคะ' ฉันบอกเขา
ในวันหนึ่ง

'ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเย็นนี้ผมพาไปดู' เขาบอก

'ขอบคุณค่ะ' ฉันตอบ และเย็นนั้น เขาพาฉันขึ้นรถเมล์จากป้ายใกล้ๆบริษัท

และไปต่อรถเมล์อีกสายหนึ่งในป้ายถัดไป ก่อนจะไปถึงหอพักที่ว่าโดยใช้
เวลาไม่เกินสามสิบนาที

'ใกล้จริงๆด้วยค่ะ' ฉันบอกเขา

จากนั้นเขาพาฉันไปดูห้องตัวอย่างก็ห้องเพื่อนเขานั่นล่ะ ฉันตกลงใจที่จะ
ย้ายมาอยู่ในเดือนหน้าและวางเงินมัดจำไปก่อน

'เย็นนี้คุณรีบไปไหนหรือเปล่า' เขาถาม

'ไม่ค่ะ' ฉันตอบ แอบคิดไปว่าเขาคงชวนทานข้าวละมัง

'ทานข้าวกับผมนะ' เขาชวนจริงๆ ฉันยิ้ม อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะพาฉัน

ไปทานที่ไหน คนที่ชอบ ข้าวต้มมัดกับพวงมาลัยจะมีรสนิยมเรื่องอาหาร
ยังไงนะ แต่ก็ได้ยินเสีย งตัวเองตอบตกลงกับเขา

ร้านที่เขาพามาเป็นร้านอาหารบรรยากาศดี ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ เหมือนสวน
หลังบ้านเสียมากกว่าร้านอาหาร ดูเขาจะคุ้นเคยกับเจ้าของร้านเป็นอย่างดี

'เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ' เขาบอกเมื่อเห็นสายตาสงสัย
ของฉัน

เสียงเพลงไพเราะจากวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีเพียงไม่กี่ชิ้นนั่นทำให้ฉันรู้สึก
ผ่อนคลาย

'ไม่รู้ว่ามีร้านแบบนี้อยู่ด้วย' ฉันพูดกับเขา

'ผมมาที่นี่บ่อยๆ' เขาบอก ฉันต้องแอบมองเขาด้วยความสงสัย ความจริง

เขาก็ไม่ได้ถึงกับประหยัดอะไรมากมาย แต่ทำไมถึงเป็น พวงมาลัยและ

ข้าวต้มมัดนะ ฉันแอบยิ้ม

'คุณยิ้มทำไม' แย่จริง เขาจับได้ ก่อนที่เขาจะเรียกเด็กหญิงที่ขายดอกกุหลาบ
มาและซื้อให้ฉันดอกหนึ่ง ทำเอาหัวใจฉันพองโต และนำกุหลาบดอกนั้น
กลับมาทับด้วยหนังสือเล่มหนาที่หัวเตียง

........................................................................

วันนี้ฉันย้ายหอพักวันแรก ฉันตัดสินใจออกจากหอเช้ากว่าที่ควรจะเป็น
อยากมีเวลาในการสำรวจเส้นทางก่อน แม้ว่าเขาบอกว่าจะมารับฉันและ
ไปทำงานพร้อมกัน

ฉันขึ้นรถเมล์จากป้ายใกล้ๆหอพักและลงเพื่อต่อรถอีกสาย ที่ป้ายรถเมล์กลาง
เส้นทางนั้นฉันเห็นคุณยายหลังค่อมนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่ พวงมาลัยดอกมะลิ
ขาวสะอาดตา เขาคงซื้อจากที่นี่ทุกวัน ฉันคิด ฉันเดินเข้าใกล้และพบว่า คุณยาย
คนนั้นขาพิการ คุณยายเล่าว่าทุกๆเช้าจะมีเพื่อนบ้านที่มาทำงานแถวนี้พาคุณยาย
และหลานมาขายพวงมาลัยที่นี่และรอรับกลับในช่วงบ่าย

ฉันอมยิ้มกับความอ่อนโยนของเขา นี่ละมังเหตุผลที่เขาขึ้นรถเมล์ไปทำงาน
และซื้อพวงมาลัยให้ฉันทุกเช้า

'ขายยังไงจ๊ะ' ฉันถามคุณยาย

'พวงละยี่สิบบาท'

ฉันยื่นธนบัตรฉบับละร้อยให้กับคุณยาย

'เอาพวงนึง ไม่ต้องทอนจ๊ะ'

'งั้นไม่ขาย ฉันไม่ใช่ขอทาน' คุณยายบอก พร้อมกับมองหน้าฉัน ซึ่งรู้สึก

ว่าหน้าตัวเองชาไปในทันที

'หนูขอโทษ' ฉันพนมมือไหว้ ก่อนที่คุณยายจะยิ้มตอบ

'ไม่เป็นไร หนูทำให้ฉันนึกถึงผู้ชายอีกคน' คุณยายเล่า

'เขาทำแบบหนู แต่ให้แบงค์พัน ยายก็ดุเขาไปเหมือนกัน' คุณยายเล่าต่อ

'แล้วเขาทำยังไงคะ' ฉันถาม

เขาขอโทษ และซื้อพวงมาลัยวันละพวงแทน บางทีก็ซื้อข้าวต้มมัดของหลาน

ยายด้วย นี่ใกล้จะมาแล้ว' คุณยายบอก

'เขาบอกว่าซื้อไปให้แฟน ฉันยังถามเขาเลยว่าสาวๆที่ไหนจะชอบ มีแต่คนแก่
ที่ชอบพวงมาลัย'คุณยายเล่า โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าหัวคิ้วฉันแทบจะชนกัน
อยู่แล้ว

'แต่เขาบอกว่าแฟนเขาชอบ' คุณยายเล่าต่อ ทำเอาฉันหน้าแดงขึ้นมาทันที
ใครบอกว่าฉันเป็นแฟนนาย...

'อ้าว คุณ ทำไมออกมาก่อนล่ะ' เสียงทุ้มๆดังขึ้นด้านหลังของฉัน ฉันแกลังทำ
เป็นไม่ได้ยินไปอย่างนั้น เพราะขืนฉันหันไปตอนนี้ คงซ่อนหน้าแดงๆนี้ไม่ได้

'คุณยาย นี่แฟนผม' เขาว่า ฉันตีต้นแขนเขาทันทีเหมือนกัน

'พวงมาลัย พวงนึงครับ' เขาบอกก่อนจะหยิบธนบัตรใบละยี่สิบให้คุณยาย
ส่วนฉัน หันไปคุยกับเด็กหญิงตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ

'ข้าวต้มมัดขายยังไงคะ'

'มัดละห้าบาทค่ะ' เธอบอก

'งั้นเอายี่สิบบาทด้วยค่ะ' ฉันบอกพร้อมกับยื่นสตางค์ให้โดยมีเขายืนยิ้มอยู่ข้างๆ

'แสดงว่าที่ผมซื้อไปคุณทานไม่อิ่ม เพราะผมซื้อแค่สิบบาทเอง' เขาพูด

'อิ่มย่ะ' ฉันเถียง เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่ก็ไม่เถียงฉัน ก่อนที่เราจะขึ้นรถเมล์
มาทำงานด้วยกัน