วันอังคารที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2553

สัจธรรมในการทำงาน

สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป

เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ ปล่อยมันไป ”

ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ “ นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
(มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเราในทุกเรื่อง)

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ ปล่อยมันไป ”

เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ

เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทำได้เพียง.....เพลงที่เพราะที่สุดในเวลานี้



นานกว่าจะทำใจ
กว่าจะเรียนรู้มันอย่างไร
รักของเธอกับฉันมันไม่ง่าย
เมื่อวันเวลาที่คอยสั่งสอนให้เราเข้าใจ
มันตัดสินให้ต้องลา

ฉันคงไม่โทษที่เธอไป
เพราะว่าเข้าใจตลอดมา

หมดเวลาแล้วเธอคงต้องไป
แต่สิ่งที่เหลือในใจยังอยู่
คือความคิดถึงที่เธอนั้นไม่รู้
พูดไม่ได้ ทำได้เพียงแค่คิดถึงเธอ

ยอมอยู่กับความจริง
แต่จะไม่ทิ้งเรื่องราวที่ดี
ฉันจะมีเธอไว้ในหัวใจ
อยู่กับเวลาที่มันยังหมุนให้ก้าวต่อไป
แม้ต้องเหงาสักเท่าไร

ฉันคงไม่โทษที่เธอไป
เพราะว่าเข้าใจตลอดมา

หมดเวลาแล้วเธอคงต้องไป
แต่สิ่งที่เหลือในใจยังอยู่
คือความคิดถึงที่เธอนั้นไม่รู้
พูดไม่ได้ ทำได้เพียงแค่คิดถึงเธอ

ฉันคงไม่โทษที่เธอไป
เพราะว่าเข้าใจตลอด
และยังเข้าใจตลอดมา

หมดเวลาแล้วเธอคงต้องไป
แต่สิ่งที่เหลือในใจยังอยู่
คือความคิดถึงที่เธอนั้นไม่รู้
พูดไม่ได้ ทำได้เพียงแค่คิดถึงเธอ

แต่สิ่งที่เหลือในใจยังอยู่
คือความคิดถึงที่เธอนั้นไม่รู้
พูดไม่ได้ ทำได้เพียงแค่คิดถึงเธอ

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

เทวดาเจ้าไอเดีย

เช้าวันนึงพนักงานบริษัทหนุ่มเกิดรู้สึกขี้เกียจไปทำงาน


"วันนี้ผมป่วยน่ะครับ คงไม่เข้าไปทำงาน" เขาโทรไปบอกที่บริษัท

นั่งๆนอนๆสักพักเขาก็รู้สึกอยากไปตีกอล์ฟ เขารีบแต่งเนื้อแต่งตัวแล้วคว้าถุงกอล์ฟขับรถบึ่งไปที่สนามกอล์ฟทันที ด้วยความที่เป็นวันธรรมดาสนามกอล์ฟดูโล่งมาก ไม่มีใครมาตีเลยซักกะคนเดียว แต่เขาไม่สนใจ เข้าประจำแท่นทีออฟทันที

เทวดากลุ่มหนึ่งมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และรู้สึกว่าหมอนี่น่าจะต้องเจอบทเรียนบ้าง

"เดี๋ยวผมจัดการเอง"  เทวดาองค์หนึ่งอาสาด้วยใบหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง

ไอ้หนุ่มหวดลูกออกไปเต็มแรง ลูกของเขาพุ่งลอยไปอย่างสวยงาม ตรงไปที่กรีน แล้วกลิ้งลงหลุมไปอย่างสวยงาม

"โฮลอินวัน"  ไอ้หนุ่มตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

"เกิดมาเพิ่งเคยทำได้โว้ย ฝีมือมั้ยล่า..."

"ไหนคุณว่าจะสั่งสอนเขาไง"  เทวดาองค์หนึ่งว่า

"ทำไมปล่อยให้เขาได้โฮลอินวันแบบนี้"
 
"เอาเหอะน่า..."  เทวดาเจ้าไอเดียยิ้ม


"คอยดูซิว่าเขาจะกล้าเล่าให้คนอื่นฟังมั้ย..."

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

ข้ามพ้นปัญหาตัวตน


ที่มา: หนังสือว่ายทวนน้ำ โดย: พระไพศาล วิสาโล

ปัญหาตัวตนเป็นปัญหาสำคัญของคนยุคนี้ พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าคนสมัยก่อนไม่มีตัวตน เป็นแต่ว่าคนสมัยก่อนมิได้ถือว่าตัวตนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อย่างคนสมัยนี้ ที่สำคัญก็คือเขามองว่า "ตัวตนของเขาแยกไม่ออกจากครอบครัว ชุมชนและธรรมชาติ" แต่พอมาถึงยุคนี้ผู้คนพากันเน้นเรื่องตัวตนกันมาก เพราะมองโลกอย่างแยกส่วน คือมองว่าตัวเองแยกขาดจากสิ่งอื่นแล้ว ถือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แล้วความทุกข์ก็เกิดขึ้นได้ง่ายและมากเพราะอะไรต่ออะไรก็มากระทบถึงตัวหมด

ปัญหาตัวตนของคนยุคนี้แสดงออกอย่างชัดเจนก็คือ "ความไม่พอใจในตัวตน" คนส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ถูกทำให้รู้สึกไม่พอใจในตัวตนของตน เห็นว่าอ้วนบ้าง ไม่ทันสมัยบ้าง จึงอยากจะมีตัวตนใหม่ วิธีสร้างตัวตนใหม่ของคนปัจจุบันก็คือ การบริโภคโดยเฉพาะการบริโภคสินค้าที่มียี่ห้อดัง เวลานี้สินค้ามี่ยี่ห้อกลายเป็นที่นิยมมาก ไม่ใช่เพราะว่ามันอร่อย หรือสนองสัมผัสทางกายเท่านั้น ที่สำคัญคือมันตอบสนองจิตใจที่ต้องการมีตัวตนใหม่

สมัยก่อนผู้คนคิดว่า ถ้ากินดีหมีก็จะแข็งแรงเหมือนหมี กินอวัยวะสืบพันธุ์ของเสือก็จะมีพลังทางเพศแกร่งเหมือนเสือ คนสมัยนี้ก็คิดไม่ต่างกัน นี่คือความรู้สึกในจิตไร้สำนึกของคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการสร้างตัวตนใหม่ด้วยการบริโภคสินค้าชื่อดัง จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ต้องการซื้อวัตถุ แต่ต้องการซื้อหรือบริโภคตัวตนที่ (เชื่อว่า) พ่วงติดมากับยี่ห้อเหล่านั้น

มองให้ลึกลงไป เราไม่เพียงต้องการสร้างตัวตนใหม่เท่านั้น หากยังต้องการสร้างความหมายและคุณค่าให้แก่ชีวิตของเรา  ความหมายของชีวิตจะได้มาจากไหน เวลานี้คนจำนวนมากคิดว่าสามารถได้จากการ
บริโภควัตถุและบริการวัตถุ สิ่งนี้จึงกลายเป็นตัวให้ความหมายและคุณค่ากับชีวิต

ชีวิตจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมีสิ่งเสพสิ่งบริโภค คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเป็นทุกข์ ไม่พอใจในตนเองเพราะขาดสิ่งเสพเหล่านี้ เขารู้สึกว่าชีวิตของเขาไม่มีคุณค่าไม่มีความหมาย ทางเดียวที่จะเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตก็คือไปหาวัตถุยี่ห้อดัง ๆ มาเสพ วัตถุกลายเป็นตัวให้คุณค่าและความหมายกับชีวิต

สมัยก่อนศาสนาเป็นตัวให้คุณค่าและความหมายต่อชีวิต ชีวิตของคุณจะมีคุณค่ามีความหมายก็ต่อเมื่อคุณปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา เช่น ให้ทาน รักษาศีล มีเมตตากรุณา เป็นต้น หรือไม่ก็ต้องทำตามบัญชาของพระเจ้า แต่พอศาสนาเริ่มเสื่อมอิทธิพล ผู้คนไม่เชื่อเรื่องศาสนา จึงไม่รู้จะเอาอะไรมาให้คุณค่าและความหมายแก่ชีวิต สุดท้ายก็ไปหาวัตถุ แต่ก่อนวัตถุจะมีคุณค่าได้ต่อเมื่อถูกกำหนดโดยศาสนา เช่น น้ำมนต์ หรือผ้ายันต์ เป็นต้น พูดอีกอย่างคือแต่ก่อนวัตถุเป็นตัวรองรับคุณค่าและความหมายโดยศาสนาเป็นตัวกำหนด แต่พอศาสนาเสื่อมบทบาทไป วัตถุก็เริ่มเปลี่ยนสภาพจากที่เคยเป็นตัวรองรับความหมายและคุณค่าจากศาสนา กลายเป็นตัวให้คุณค่าและความหมายแก่มนุษย์เสียเอง คือมาทำหน้าที่แทนศาสนาเสียเอง

เวลานี้วัตถุเป็นตัวให้คุณค่าความหมายแก่คนทั้งโลก จากจุดนี้เองที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในวงการอุตสาหกรรมทั่วโลก ปัจจุบันบริษัทใหญ่ ๆ ประกาศชัดเจนว่าเขาไม่ผลิตสินค้าแล้ว เขาจะผลิตคุณค่าและความหมายแทน คือผลิตและสร้างยี่ห้อเป็นหลัก เช่น ไนกี้ เดี๋ยวนี้ไม่ผลิตรองเท้าแล้ว โดยโอนการผลิตไปให้โรงงานในเวียดนาม จีน อินโดนีเซียทำแทน ส่วนบริษัทไนกี้ทำหน้าที่สร้างยี่ห้อให้มีเสน่ห์หรือมนต์ขลังมาก ๆ ขึ้น พูดง่าย ๆ คือใครจะผลิตรองเท้าก็ได้ ไนกี้จะทำหน้าที่ประทับตรา ทำให้กลายเป็นสินค้าที่มีคุณค่าและความหมายขึ้นมาทันที

บริษัทชั้นนำในปัจจุบันทำหน้าที่ "เสก" ให้วัตถุมีคุณค่าขึ้นมา แล้ววัตถุนั้นก็ไปกำหนดคุณค่าของคนซื้ออีกที กระบวนการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้คนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าและความหมาย จึงไปหาเอาจากวัตถุหรือยี่ห้อ ยี่ห้อจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญต่อจิตใจของผู้คนมาก

ปัญหาก็คือตัวตนใหม่ที่ได้จากวัตถุหรือยี่ห้อนั้นหาได้ยั่งยืนไม่ ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่มันให้จริง ๆ คือภาพลักษณ์ต่างหาก ซึ่งไม่คงทน ล้าสมัยง่าย ซื้อมาประดับกายได้ไม่กี่ปีก็ต้องหารุ่นใหม่มาแทน อีกทั้งยังด้อยคุณค่าหากคนอื่นใช้ยี่ห้อที่แพงกว่า อัครฐานมากกว่า วัตถุหรือยี่ห้อจึงไม่สามารถให้ความพึงพอใจได้อย่างแท้จริง ถึงที่สุดแล้วเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวตนได้อย่างแท้จริงด้วยการบริโภค หากต้องอาศัยการปฏิบัติ ซึ้อยี่ห้ออะไรก็ได้สามารถทำให้เราเป็นคนเก่งหรือลูกผู้ชายตัวจริงได้ นอกจากการฝึกฝนตนให้มีความสามารถและคุณธรรม

ที่สำคัญก็คือการแก้ปัญหาตัวตนที่ได้ผลอย่างแท้จริงมิได้อยู่ที่การแสวงหาตัวตนใหม่ที่ดีกว่าเดิม หากอยู่ที่การก้าวพ้นจากเรื่องตัวตน หรือสละตัวตนนั่นเอง "ปัญญา" ที่ทำให้เราตระหนักว่าตัวตนที่แท้จริงนั้นหามีไม่ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยเราปลดเปลื้องปัญหาตัวตนอย่างถึงที่สุด

--------------------------------

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สาเหตุที่มาเลเซียเจริญกว่าไทย ในช่วงเวลาอันสั้น

ที่มา: จากอีเมล์


โดยระบุที่มาดังนี้ : คัดจากหนังสือ "คิดเป็น รวยก่อน" หน้า 271-274 โดย กรพจน์ อัศวินวิจิตร (อดีตรมช.กระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาลชวน ๒, อดีตผู้แทนการค้าระหว่ารงประเทศ รัฐบาลทักษิณ, กรรมการผู้จัดการ ธนาคาร....)

......."เมื่อ 15 ปี ก่อน ผมไปเจรจาการค้าที่ประเทศมาเลเซีย ผมประเมินด้วยสายตามาเลเซียล้าหลังกว่าเรา 20 ปี เป็นอย่างน้อย ปัจจุบันนี้ ผมไปมาเลเซียอีกครั้ง ผมตกใจ เขาทำท่าจะแซงหน้าเราซะแล้ว มหาเธร์ใช้เวลา 15 ปี ทำให้มาเลเซียที่ล้าหลังกว่าเราประมาณ 20 ปีกลับมาตีคู่กับเราได้ ต้องยอมรับว่าเก่งมาก

ประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้มาเลเซียพัฒนาได้เร็วมากก็คือ การเมืองของมาเลเซีย...นิ่ง.. รัฐบาลมีเสถียรภาพมาก มีคะแนนเสียงในสภาสูง มีฝ่ายค้านน้อย ทำให้มีเวลาทำงานเต็มที่ สามารถแก้กฏหมายสำคัญๆ ได้อย่างรวดเร็ว สามารถวางแผนระยะยาวได้ ที่สำคัญคือมีโอกาสทำงานต่อเนื่องถึง 20 ปี ทำให้ทุกโครงการถูกสานต่อจนเสร็จและเกิดโครงการใหม่ที่ต่อเนื่อง สอดรับกับโครงการเก่า เสร็จไปแล้วหลายรุ่น

ผมได้พูดคุยกับนักธุรกิจชาวมาเลย์ ก็พูดจาชมเชยเขาว่า คนมาเลย์เป็นคนฉลาด คิดเก่งถึงสามารถพัฒนาประเทศให้เจริญได้อย่างรวดเร็ว เขาบอกว่า ไม่จริง คนไทยฉลาด และคิดเก่งกว่าคนมาเลย์เยอะ ผมก็งง ไม่เข้าใจ คนไทยฉลาดกว่า คิดเก่งกว่าคนมาเลย์ แล้วทำไมประเทศไทยถึงทำท่าจะเจริญช้ากว่ามาเลย์ล่ะ เขาหัวเราะแล้วอธิบายว่า เขายอมรับว่า คนไทยเป็นคนฉลาด มีความคิดดี ประเทศไทยมีคนคิดโครงการดีๆ เยอะแยะมากมาย แต่ค่อนข้างโชคร้ายที่มีฝ่ายค้านและสื่อมวลชนที่เก่งเกินไป และขยันเกินไป ผมยังไม่เข้าใจ เขาอธิบายว่า เวลามีโครงการดีๆ เป็นประโยชน์ต่อประเทศมหาศาลถูกเสนอเข้ามา ฝ่ายค้าน นักวิชาการ NGO ประชาชนนักประท้วง สื่อมวลชน จะร่วมกันคัดค้าน ถกเถียงกันไปมา ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่มีใครยอมใคร เก่งหมดทุกคน กว่าจะหาข้อสรุปได้ก็ใช้เวลา 20 ปี

คนมาเลย์เนี่ยเป็นคนโง่ คิดอะไรไม่ค่อยเป็น แต่เรารู้ตัวว่าเราโง่ เราจึงร่วมมือกันทำงาน ร่วมมือกันวางแผน มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่ประชุมสรุปยังไงเราทำยังงั้น ที่ประชุมสรุปว่า เมื่อเราโง่ เราไม่ต้องคิด เสียเวลา ให้ใช้วิธีคอยชะเง้อมองประเทศไทย ดูว่าไทยกำลังคิดอะไร ใครเสนอความคิดอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ เป็นโครงการที่ดี มีประโยชน์ต่อประเทศชาติ คนมาเลย์จะเอาโครงการนั้นมาทำทันที มาเลย์ทำจนเสร็จ ใช้งานได้แล้ว ประเทศไทยยังทะเลาะกัน ยังถกเถียงกันไม่เสร็จเลย นี่คือเหตุผลว่า ทำไมมาเลเซียถึงเจริญเร็วกว่า พูดเสร็จ ก็หัวเราะลั่นห้องน้ำหูน้ำตาไหล

ผมหัวเราะไม่ออก แต่หน้าชา เพราะพอหลับตาก็เห็นภาพสนามบินหนองงูเห่า เพื่อนเห็นผมทำหน้าไม่ดีก็หยุดหัวเราะ แล้วหันมาขอโทษ บอกว่า ยูอย่าซีเรียส นี่เป็นโจ๊ก ไม่ใช่เรื่องจริงเป็นเรื่องเล่าคลายเครียดในหมู่นักธุรกิจชาวมาเลย์ "
...................

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เข้าท่าดี

ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง เดินเข้าไปในธนาคารกลางเมืองนิวยอร์ค ถามหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อ

ชายคนนี้บอก กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า เขาจะต้องไปทำธุระที่ประเทศอินเดีย ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็เลยจะขอกู้เงินสัก 170,000 บาท เจ้าหน้าที่สินเชื่อบอกกับเขาว่า การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน

ดังนั้นชายชาวอินเดียยื่นกุญแจรถเฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุดที่จอด อยู่หน้า ธนาคาร พร้อมกับเสนอให้ใช้รถคันนี้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เจ้าหน้าที่สินเชื่อจึงตกลงให้กู้เงินโดยใช้รถค้ำประกัน

ผู้จัดการธนาคาร กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อ ต่างก็ขบขันชายชาวอินเดียที่เอารถเฟอร์รารี่ราคา 8,500,000 บาท มาค้ำประกันเงินกู้ เพียงแค่ 170,000 บาท หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็นำรถเฟอร์รารี่ขับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถชั้น ใต้ดินของธนาคาร

สองสัปดาห์ผ่านไป ชายชาวอินเดียก็กลับมาที่ธนาคารพร้อมด้วยเงิน 170,000 บาท และดอกเบี้ยอีก 500 บาท นำมาชำระคืนให้กับธนาคาร

เจ้าหน้าที่สินเชื่อพูดว่า
“ท่านครับ เรารู้สึกดีใจมากที่คุณจัดการธุระของคุณได้เสร็จเรียบร้อย และการกู้เงินในครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี แต่ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย ตอนที่คุณไปแล้ว เราได้เช็คประวัติของคุณดู ก็พบว่าคุณร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงเลย แต่ทำไมคุณถึงต้องมากู้เงินกับเราแค่ 170,000 บาทด้วย ล่ะครับ”

ชาวชาวอินเดียตอบกลับไปว่า
“ไม่มีที่ไหนในนิวยอร์คอีกแล้ว ที่ผมจะสามารถจอดรถทิ้งไว้ได้ถึง 2 สัปดาห์ ด้วยเงินเพียง 500 บาท พร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อยว่ารถผมจะไม่หาย”

เรื่องเล่าชาวยิวกับขุมทรัพย์ใต้สะพาน


มีชาวยิวคนหนึ่งยากจนคนหนึ่ง ฝันว่าเขาเห็นขุมทรัพย์ฝั่งอยู่ที่ใต้สะพานที่นอกเมืองโน้น เขาก็เลยตัดสินใจออกจากบ้าน ด้วยความหวังว่าจะเจอขุมทรัพย์ ไปที่ใต้สะพานนอกเมือง และเมื่อไปถึง กำลังจะขุด ก็มีตำรวจคนหนึ่งเห็นเข้า ก็เลยโดนถามว่า มาทำอะไร ชายยากจนก็ อ้ำอึ้ง แต่ก็ตัดสินใจบอกไปว่า เขานะฝันเห็นขุมทรัพย์ฝั่งอยู่ใต้สะพานนี้

ตำรวจได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจมาก ...ก็บอกออกไปว่า ตัวเขาเองก็ฝันเหมือนกันว่าจะมีคนโง่ คนหนึ่ง มาขุดดินที่ใต้สะพานนี้ เพื่อหาขุมทรัพย์ แต่โง่มาก เพราะเขานะฝันต่อไปจนรู้ว่าขุมทรัพย์นะไม่มีหรอกที่ใต้สะพาน แต่มันถูกฝั่งอยู่ที่ใต้เตาผิงที่บ้านชายโง่คนนั้นต่างหาก ... กลับไปซะเถอะที่นี่ไม่มีขุมทรัพย์หรอก

แล้วชายยากจนก็จำต้องกลับบ้าน ...แต่เขาก็ไปขุดที่ใต้เตาผิง ในบ้านของเขาปรากกฎว่าเจอขุมทรัพย์เข้าจริงๆ ...

เรื่องนี้ไม่ได้สอนให้เราบ้าขุมทรัพย์นะ ...แต่มันมีข้อคิดที่น่าประทับใจ ตรงที่ว่า บางครั้งเราต้องออกเดินทาง ไปไกลแสนไกล เพื่อจะค้นพบว่าสิ่งที่เราต้องการที่สุด อยู่ใกล้แค่เอื้อม ...ประเด็นมันอยู่ที่ ถ้าคุณไม่ออกเดินทาง ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่า สิ่งที่คุณต้องการนั้นคือสิ่งที่คุณหามันได้ไม่ไกลตัวนัก ชาวยิวจึงนิยมที่จะเดินทางเพื่อหาประสบการณ์อยู่เสมอๆ



วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยตนเอง ตอนที่ 6 : ลดเวลาค้นหาหุ้น...ต้องตามลุ้นความเห็นของนักวิเคราะห์

รายงานโดย : กฤษฏา เสกตระกูล        วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การเคลื่อนไหวราคาหลักทรัพย์ขึ้นลงไปมาในแต่ละวัน สะท้อนถึงความคาดหวังของตลาด (หรือของนักลงทุน) เกี่ยวกับอนาคตของบริษัทจดทะเบียนของหลักทรัพย์นั้น

เช่น อนาคตเกี่ยวกับการเติบโตของกำไร (Earning Growth) ซึ่งจะไปมีผลอย่างมากต่อราคาหลักทรัพย์ นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ถ้าคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตของบริษัทเป็นไปนเชิงบวก และอาจขาดทุนได้ถ้าอนาคตของกิจการไม่สดใสอย่างที่คาดเอาไว้

ประสบการณ์ที่เกิดจริงในสหรัฐอเมริกา ก็คือ มีนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จำนวนมาก ถูกไล่ออกจากงาน เนื่องจากแนะนำให้ลูกค้าเข้าซื้อหลักทรัพย์ในกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีราคาแพงเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่อุตสาหกรรมกลุ่มนี้รุ่งเรืองถึงขีดสุดในช่วงปีค.ศ. 2000 ต่อเนื่องถึงปีค.ศ. 2001 ตัวอย่างที่เด่นชัด ก็คือ การกระตุ้นให้ซื้อหุ้นของบริษัท เอนรอน ก่อนที่จะถูกประกาศให้ล้มละลาย ต่อมาในปีค.ศ. 2002 หน่วยงานของรัฐในสหรัฐอเมริกาได้เปิดเผยผลการสอบสวนที่พบว่า นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บางคนได้ให้คำแนะนำแก่นักลงทุนซื้อหุ้นทั้งที่รู้ว่าจะเกิดความเสียหายขึ้น

ทั้งที่เกิดความอื้อฉาวต่อชื่อเสียงของ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์มาหลายครั้ง แต่รายงานการพยากรณ์กำไร (Earning Forecast) และรายงานการให้คำแนะนำในการลงทุน (Buy/Sell Ratings) ก็ยังคงเป็นที่นิยมและเป็นเครื่องมือที่ดีในการคาดการณ์อนาคตของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพราะเราสามารถ ค้นหาข้อมูลสำคัญซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุน ซึ่งช่วยเราประหยัดเวลาไปได้มากในการวิเคราะห์เจาะลึกว่า หุ้นตัวนั้นดีหรือไม่ดีอย่างไร

6.1 บทบาทของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์จะว่าจ้างนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เพื่อวิเคราะห์หลักทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จะเขียนรายงานวิเคราะห์อุตสาหกรรมที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งบริษัทจดทะเบียนซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมเหล่านั้นด้วย ในการวิเคราะห์บริษัทจดทะเบียน นักวิเคราะห์จะมีการพยากรณ์ยอดขายและกำไรของบริษัท จดทะเบียน รวมทั้งให้ความเห็นว่าควรจะซื้อ (Buy) ถือไว้ต่อไป (Hold) หรือขาย (Sell) และระบุราคาเป้าหมาย (Target Price) ที่จะเกิดขึ้นกับหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนนั้น นักวิเคราะห์จะต้องปรับปรุง (Update) ข้อมูลการวิเคราะห์หลักทรัพย์อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์นั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป

การจัดทำรายงานของนักวิเคราะห์ ก็เพื่อให้คำแนะนำแก่ลูกค้าว่าควรจะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน แต่กว่าจะได้ข้อสรุปนี้มาไม่ใช่เป็นงานง่ายๆ นอกจากนี้ นักวิเคราะห์จะต้องพัฒนาวิธีการในการจัดลำดับ (Rating) หลักทรัพย์ เพื่อคัดกรองว่าหลักทรัพย์ใดควรถูกซื้อหรือขาย และแต่ละบริษัทอาจมีเทคนิคที่ต่างกันไป เช่น Goldman Sachs ใช้วิธีวิเคราะห์หลักทรัพย์ตาม ปกติแล้วถ้าคิดว่าในระยะเวลาอีกไม่นานหลักทรัพย์นั้นจะมีราคาสูงขึ้น ก็จะนำรายชื่อเข้ามาอยู่ใน Recommendation List ขณะที่ Merrill Lynch ใช้วิธีให้สัญลักษณ์ไว้ที่หุ้นที่กำลังจะมีราคาสูงขึ้น และ Prudential Securities จะระบุไว้กับหลักทรัพย์ที่กำลัง จะขึ้นว่า Strong Buy เป็นต้น นักลงทุน จึงต้องปรึกษากับบริษัทหลักทรัพย์เพื่อทำความเข้าใจกับวิธี Rating และความหมายของแต่ละบริษัท

6.2 รู้จัก Consensus Ratings
การรวบรวมผลการจัดลำดับหลักทรัพย์ของนักวิเคราะห์จากหลายๆ บริษัทหลักทรัพย์ เรียกว่าเป็นการจัดทำ Consensus Ratings ซึ่งอาจสรุปได้ว่าความเห็นของนักวิเคราะห์จะเป็นไปในลักษณะใดลักษณะหนึ่งใน 5 ประการ ดังแสดงในตารางที่ 6.1 ต่อไปนี้

เราสามารถติดตามผลการให้ความเห็นในหลักทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่ง เนื่องจากนักวิเคราะห์หลายๆ คนได้ เช่น ถ้ามีนักวิเคราะห์ 3 ราย ให้คำแนะนำว่า Strong Buy ในหลักทรัพย์หนึ่ง ค่าที่ได้รวมกันจะเท่ากับ 3 และค่าเฉลี่ยจะเท่ากับ 1 แต่ถ้ามีนักวิเคราะห์ 1 ราย ให้ Strong Buy (ค่าจะได้ 1) 1 ราย บอกว่า Hold (ค่าจะได้ 3) ค่าเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์ 2 ราย เท่ากับ 2 (4 หารด้วย 2) ซึ่งค่าจะตกอยู่ใน ระดับ Buy ค่าเฉลี่ยที่หามาได้นี้เรียกว่า Consensus ถ้าค่า Consensus เท่ากับ 2.7 เช่น อาจมาจาก 16/6 ซึ่งมีรายละเอียดคือ นักวิเคราะห์ 3 ราย บอกว่า Hold (ได้ 9 คะแนน) 2 ราย บอกว่า Strong Buy (ได้ 2 คะแนน) และ 1 ราย บอกว่า Strong Sell (ได้ 5 คะแนน) ค่า Consensus 2.7 นี้จะตกอยู่ในระดับใกล้กับ Hold ซึ่งหมายถึงให้คงสถานะเดิม ไม่ซื้อเพิ่มหรือไม่ขายและให้ถือต่อไป

การรวบรวมและคำนวณค่า Consensus ช่วยให้นักลงทุนได้เห็นว่า แนวโน้มโดยเฉลี่ยของนักวิเคราะห์คิดอย่างไรกับหลักทรัพย์นั้น ตัวอย่างเช่น ในเดือนที่แล้วค่า Consensus ของหลักทรัพย์หนึ่งเท่ากับ 2.2 ซึ่งตรงกับระดับ Weak Buy เมื่อมาถึงในเดือนนี้ค่า Consensus เท่ากับ 1.2 แสดงว่าเป็นการยืนยันมากขึ้นว่าให้ซื้อได้ เพราะค่าเฉลี่ยเข้าใกล้ Strong Buy

เนื่องจากค่า Consensus อาจมีค่าเป็น จุดทศนิยม เมื่อเทียบกับค่าคะแนนที่ตั้งเอาไว้ตามตารางที่ 6.1 ทำให้เปรียบเทียบได้ยาก เราอาจกำหนดช่วงค่าคะแนนใหม่เพื่อช่วยตัดสินใจได้ดังต่อไปนี้

- ค่า Consensus ระหว่าง 1.0-1.5 = Strong Buy

- ค่า Consensus ระหว่าง 1.6-2.4 = Buy
- ค่า Consensus ระหว่าง 2.5-3.5 = Hold
- ค่า Consensus ระหว่าง 3.6-5.0 = Sell

ในการหาค่าเฉลี่ยของความเห็นเพื่อคำนวณค่า Consensus นั้น เราควรใช้จำนวนนักวิเคราะห์เท่าใดจึงจะพอ บ้างก็ว่าควรใช้จำนวนนักวิเคราะห์ระหว่าง 20-35 คน บางธุรกิจหลักทรัพย์ก็ใช้จำนวนนักวิเคราะห์ 7-15 คน ซึ่งไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่ก็ ไม่ควรมีน้อยเกินไป เพื่อให้เวลาคำนวณจะมีค่าเฉลี่ยที่ไม่เกิดอคติได้ง่าย



ที่มา : http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=81779

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มาจากญี่ปุ่น!!

นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย วันสุดท้ายของการเดินทาง

หนุ่มชาวอาทิตย์อุทัยได้เรียกแท๊กซี่ไปส่งที่สนามบินดอนเมือง

ระหว่างทางมีรถฮอนด้า ขับผ่านไป หนุ่มยุ่นรีบโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างแท๊กซี่

และ ตะโกนว่า รถฮอนด้า วิ่งเร็วมาก มาจากญี่ปุ่น

หลังจากนั้นก็กลับเข้ามา นั่งในรถด้วยใจรักชาติ

ขณะนั้น ได้มีรถโตโยต้า แล่นแซงแท๊กซี่ไปอย่างเร็วชายคนนั้นทำเช่นเคย

“รถโตโยต้า วิ่งเร็วมาก มาจากญี่ปุ่นยังไม่ทันไร รถมิตซูบิชิ

ก็แล่นผ่านไปอีกคัน เขาก็รีบตะโกนทัก

รถมิตซู วิ่งเร็วมาก มาจากญี่ปุ่น”

คนขับแท๊กซี่รู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่ก็ได้แต่เก็บไว้โดยที่ไม่พูดอะไร

แม้จะต้องทนฟังเสียง แบบเดิมอีกหลายครั้ง พอมาถึงที่สนามบิน

มิเตอร์บอกราคาค่าโดยสาร 300 กว่าบาท หนุ่มญี่ปุ่นถึงกับใจหาย

“โอโนว ! ทามมายมันแพงยังงี้”

คนขับแท๊กซี่ได้ใจ หันกลับไปบอกว่า

“มิเตอร์นี้วิ่งเร็วมาก มาจากญี่ปุ่น”

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยตนเอง ตอนที่ 4 : เทคนิคการค้นหา Growth Stock (จบ)

รายงานโดย :กฤษฏา เสกตระกูล: วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552


ต่อจาก 2 ฉบับก่อนที่กล่าวถึงเกณฑ์ในการ ค้นหา หุ้นเติบโต (Growth Stock) ไปแล้ว ฉบับนี้มาต่อกันที่หัวข้อการประเมินของนักวิเคราะห์ (Analysts Consensus Ratings) กันต่อ

อัตราการเติบโตของกำไรประมาณการในอีก 5 ปีข้างหน้า
กำหนดอัตราขั้นต่ำไว้ที่ 18% ต่อปี เรา สามารถติดตามดูข้อมูลได้จากการพยากรณ์ของ นักวิเคราะห์ โดยดูจากค่าเฉลี่ยของการทำ Consensus การเติบโตของกำไรในอนาคต ถ้าเป็นไปตามที่คาดก็จะส่งผลดีต่อการเติบโตของการลงทุนไปด้วย


อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) กำหนดอัตราส่วนขั้นต่ำไว้ที่ 1.5 เท่า อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน คือ การหารสินทรัพย์หมุนเวียนด้วยหนี้สินหมุนเวียน ถ้าอัตราส่วนนี้ มีค่าต่ำกว่า 1 แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมมีภาระหนี้สินระยะสั้นเกินกว่าสินทรัพย์ที่จะใช้ชำระหนี้ระยะสั้นได้ ถ้าอัตราส่วนนี้มีค่าสูงขึ้น แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นของบริษัท ก็จะสูงขึ้นด้วย ในที่นี้กำหนดค่าเหมาะสม (Arbitrary) ไว้ที่ 1.5 ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้

อัตราส่วนหนี้สินระยะยาวต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Long-Term Debt/Equity) กำหนด ค่าสูงสุดไว้ที่ 0.5 อัตราส่วนหนี้สินระยะยาว ต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นการนำมูลค่าหนี้สินระยะยาวมาเทียบกับมูลค่าตามบัญชี (Book Value) ของกิจการ ยิ่งอัตราส่วนนี้สูงขึ้น แสดงว่าสัดส่วนที่เป็นหนี้ยิ่งสูงขึ้น การกำหนดค่าสูงสุดของอัตราส่วนหนี้ที่ 0.5 ช่วยตัดบริษัทที่มีปัญหาหนี้สินมากๆ ออกจากการพิจารณา เพราะทำให้เกิดความเสี่ยงทางการเงิน

ระดับรายได้ (Revenue) กำหนดค่าเฉลี่ยต่ำสุดของรายได้ต่อปี คือ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ เราต้องมีการกำหนดขนาดของรายได้ของบริษัท ที่เราสนใจอย่างชัดเจน เพื่อให้รู้ว่าบริษัทที่เราสนใจอยู่ในธุรกิจขนาดใหญ่หรือธุรกิจขนาดเล็ก

อัตราการทำกำไรต่อสินทรัพย์ (Return on Assets) กำหนดอัตราขั้นต่ำไว้ที่ 8% ต่อปี ROA ใช้วัดความสามารถในการทำกำไรของ บริษัท ยิ่ง ROA สูง ก็ยิ่งดี การกำหนดอัตรา ขั้นต่ำทำให้เราคัดสรรหลักทรัพย์ที่มีความสามารถในการทำกำไรในอัตราที่น่าพอใจไว้ได้จำนวนหนึ่ง โดยปกติเราจะไม่ค่อยสนใจหุ้นของบริษัทที่มี ROA ต่ำในระดับหนึ่ง เช่น 5%

ราคาหุ้น (Share Price) กำหนดราคาขั้นต่ำไว้ที่ 5 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น (เฉพาะของสหรัฐ)
หุ้นที่มีราคาต่ำมากๆ (เช่น ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ) จะถูกพิจารณาว่าอาจมีความเสี่ยงสูง หรืออาจมีปัญหาบางประการ และควรถูกตัดออกไป

เปอร์เซ็นต์การถือครองหุ้นของนักลงทุนสถาบัน (Percent Institutional Ownership) กำหนดเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำไว้ที่ 30% กองทุนรวมและนักลงทุนสถาบันมักจะชอบหุ้นแบบ Growth Stock เราอาจคอยสังเกตว่า ถ้าหุ้นนั้นไม่มี นักลงทุนสถาบันมาถือครอง ก็เป็นสัญญาณว่าเป็นหุ้นที่ไม่น่าสนใจ สำหรับเปอร์เซ็นต์ขั้นต่ำนี้อาจพิจารณาในระดับต่างๆ กันไป แล้วแต่ลักษณะการลงทุนของกองทุนรวมในแต่ละประเทศ

โดยใช้เกณฑ์ต่างๆ ข้างต้น ควรคัดสรรหุ้น แบบ Growth Stock มาได้เหลือ 15-20 ตัว ถ้ายังไม่ได้ในจำนวนที่ต้องการก็ปรับเกณฑ์ตามความเหมาะสม

ที่มา : http://www.posttoday.com/stockmarket.php?id=79693

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อีเมล์เป็นเหตุ

สองสามีภรรยาตกลงใจไปพักร้อนด้วยกัน แต่เนื่องจากภรรยาติดธุระ สามีจึงออกเดินทางไปฟลอริดาก่อน

เมื่อถึงโรงแรม เขาคิดว่าควรส่งข่าวให้ภรรยารู้ แต่บังเอิญว่าเขาพิมพ์อีเมล์แอดเดรสพลาดไปตัวเดียว ดังนั้นข้อความที่เขาส่งจึงไปถึงมือของภรรยาบาทหลวง ซึ่งเพิ่งจะสูญเสียสามีไปหยก ๆ

เธอเปิดอ่านข้อความแล้วร้องกรี๊ดออกมาก่อนแล้วล้มหัวฟาดพื้น ญาติของเธอจึงวิ่งมาดู และได้เห็นข้อความที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมฯ ว่า

สุดที่รัก ? ผมเพิ่งจะเช็คอินเดี๋ยวนี้เอง ทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับการมาถึงของคุณในวันพรุ่งนี้ ? ด้วยความรักจากสามีคุณ


ป.ล. อากาศข้างล่างนี้ร้อนเป็นบ้า ?

ใครเจริญกว่ากัน!!

ที่ประเทศจีน มีการขุดค้นพบซากสายโทรศัพท์ในระดับความลึก 50 เมตร
ทั่วประเทศต่างพากันฉลองดีใจ ด้วยเชื่อว่าเมืองจีนมีโทรศัพท์ใช้แล้วเมื่อ 50 ปีก่อน……..

ประเทศสหรัฐอเมริกา จึงขุดดินบ้างให้ลึกกว่า 100 เมตร ก็พบซากสายโทรศัพท์เช่นกัน
ทั่วประเทศต่างพากันฉลองดีใจ ด้วยเชื่อว่าประเทศของตนมีโทรศัพท์ใช้แล้วเมื่อ 100 ปีก่อน……

ประเทศไทยก็คิดว่าน่าจะมีบ้าง
จึงขุดดินลงไประดับความลึก 200 เมตร
ปรากฏว่าไม่เจออะไร..??..
ทั่วประเทศต่างพากันฉลองดีใจ
ด้วยเชื่อว่าเมืองไทยมีโทรศัพท์ไร้สายใช้แล้ว เมื่อ 200 ปีก่อน………???

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง


โดย วินทร์ เลียววาริณ

..........ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมานานร่วมสามสิบปี....

ห้าปีในนั้นผมทำงานในต่างประเทศ
..เมื่อกลับมาเมืองไทย ผมพบเรื่องอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือหลายคนมองการก้าวเท้าออกจากสำนักงานตรงเวลา
'เป็นเรื่องประหลาดที่สุดในโลก '
ผมรู้ความจริงภายหลังว่า ...
คนจำนวนมากไม่ยอมออกจากสำนักงานตรงเวลา
เพื่อแสดงให้เจ้านายเห็นว่า
ตนเองขยันขันแข็ง ยิ่งอยู่ดึก ยิ่งเป็นพนักงานตัวอย่าง
เสียสละเพื่อองค์กร น่ายกย่องชมเชย
บ่อยครั้งมีผลถึงการได้รับโบนัสตอนท้ายปี..
เนื่องจากเจ้านายมักเห็นหน้าเห็นตาใครคนนั้น หลังเวลาเลิกงานแล้วเสมอ
หากไม่เคยทำงานในต่างประเทศมาก่อน ผมอาจเข้าร่วมวงไพบูลย์
'มาสายกลับดึก' ด้วย

แต่หลายปีในชีวิตการทำงานในประเทศที่มีประสิทธิภาพในการจัดการที่สุด..
ทำให้เห็นค่าเวลาทุกนาทีในชีวิต
ผมกลับมองว่าคนที่อยู่ดึกเป็นประจำคือพวกไร้ประสิทธิภาพ
ไม่สามารถทำงานให้เสร็จทันเวลา ..จึงต้องอยู่ดึก
ยิ่งทำงานมากชั่วโมงยิ่งแสดงถึงการทำงานโดยไม่มีการวางแผน ไม่มองภาพรวม

ลองคิดดู????

การอยู่ดึกเพื่อทำงานพิเศษหนึ่งคืนหมายถึงค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น ค่าทะนุบำรุงสูงขึ้น
ผลกระทบต่อคนทำงานคือพักผ่อนน้อยกว่าที่ควรเป็น
ยิ่งอยู่ดึก ประสิทธิภาพของงานในวันถัดไปยิ่งตกต่ำลง

.มือกระบี่ชั้นหนึ่งในแผ่นดินมองท่วงทีของศัตรูอย่างระวัง
ตวัดกระบี่ในมือเพียงฉับเดียว ก็เข่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม
มือกระบี่ชั้นรองต้องประกระบี่ดังโคร้งเคร้งนานนับชั่วโมง
ราวกับอยากบอกโลกว่า ..ข้าก็ใช้กระบี่นะโว้ย
โลกรับรู้ แต่คมกระบี่ก็บิ่น ต้องเสียเวลาลับกระบี่อีกหลายวัน

งานดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องตรงเวลาด้วย
งานดีไม่มีทางเกิดขึ้นตามยถากรรม ..หรืออารมณ์ขึ้นลง
ไปจนถึงความหนาแน่นรัดกุมของกฎเกณฑ์ 'ตอกบัตร'
ปริมาณเวลาในการทำงานชิ้นหนึ่ง
ไม่ได้เป็นสัดส่วนกับคุณภาพของผลงานเสมอไป

บ่อยครั้งเป็นปฏิภาคกัน ..หลายครั้งงานที่ให้เวลาน้อย
กลับออกมาดีกว่างานที่ให้เวลามาก

"คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง"

ทำ งานเสร็จแล้วก็เลิก! ไม่ต้องรอเทวดาบนสวรรค์วิมานมารับรู้'
เพราะถึงเวลานั้นเทวดาก็กลับบ้านไป นานแล้ว



วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พระนั่งอยู่‏


มีพระอยู่ 1 รูป เดินผ่านเข้าไปในเขตที่กำลังเกิดสงครามอยู่

จึงถูกทหารนายหนึ่งจับเป็น เชลย

แต่ว่าระหว่างทางที่ทหารจะพาพระกลับไปในเมือง

ก็ได้เดินผ่านร้านเหล้า จึงเกิดอยากเหล้าขึ้นมา

จึงได้แวะดื่มก่อน ทหารก็ได้คิดอย่างรอบคอบ

ก่อนที่จะเมาหลับไปจึงนำกุญแจมือล็อกพระติดกับตนเองไว้

หลังจากนั้นก็ได้เมาหลับไป.....

พระจึงแอบหยิบกุญแจมาไขแล้ว

จัดการสลับเสื้อผ้าของทหารกับพระ

จากนั้น...พระก็จัดการโกนผม ให้ทหารคนนั้น

เวลาผ่านไป จนกระทั่ง ทหารเริ่ม สร่าง (รึป่าวหว่า)

จึงตื่นขึ้นมาแล้วหันมองทางซ้ายทีทางขวาที

ก็ไม่เจอพระ จึง ส่องกระจก และมองชุดที่สวมใส่


และอุทานขึ้นว่า "พระยังอยู่ แล้วตรูไปไหนว่ะ!!!"

เคยเห็นตัวเม่น ตอนเด็ก ๆ ป่าว?‏